วันอังคารที่ 20 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

จอร์จ แครอล กล่าวว่า น้อยคนนักจะรู้วิธีสระผมให้ถูกต้อง นักออกแบบทรงผมท่านนี้เป็นผู้ออกแบบผลิตภัณฑ์สำหรับเส้นผม และเป็นที่ปรึกษาด้านอุตสาหกรรมความงามและการบันเทิงในฮอลลีวูด เขาบอกว่าการสระผมด้วยวิธีที่เหมาะสมไม่ใช่เป็นเพียงการปรับปรุงความงามสลวย ให้ผมเท่านั้น แต่ยังช่วยถ่วงเวลาการหลุดล่วงของเส้นผมแบะทำให้ผมยาวมีสุขภาพดีขึ้น วิธีที่เขาแนะนำมีดังนี้
  • ก่อนจะย่างเท้าเข้ารับน้ำฝักบัว ให้แปรงผมด้วยแปรงที่มีขนแข็งๆ ทำจากขนหมูป่า โดยแปรงย้อนจากข้างหลังมาข้างหน้า วิธีนี้เป็นการกระตุ้นการไหลเวียนและกำจัดสารแต่งผมต่างๆ ที่จับตัวเป็นก้อนให้หมดไป
  • โกรกผมด้วยน้ำอุ่นให้เปียก (น้ำร้อนเกินไปทำให้ชั้นไขมันที่เคลือบป้องกันผมหลุดลอกไปหมด) ลงแชมพูที่บริเวณท้ายทอย สระจากตีนผมก่อนแล้วจึงไล่ขึ้นมาบนศีรษะ
  • นวดหนังศีรษะให้ทั่วถึงอย่างน้อย 3 ครั้ง เพื่อให้สารอาหารในแชมพูซึมแทรกเข้าไปในกระเปาะผมและทำให้รากผมสะอาดปราศจาก สิ่งตกค้างอุดตันหลังจากล้างด้วยน้ำจนผมสะอาดดีแล้ว จึงใส่ครีมปรับสภาพผมหรือครีมนวดผม ถ้าคุณสระผมนอกห้องน้ำ ให้ห่อพันศีรษะด้วยผ้าขนหนูนึ่งไอน้ำ(ผ้าขนหนูชุบน้ำให้เปียกแล้วอบใน ไมโครเวฟ 2 นาที) อบผมทิ้งไว้ 30-60 วินาที ไอน้ำทำให้ครีมปรับสภาพทำงานมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น เพราะครีมสามารถซึมเข้าในเส้นผมแต่ละเส้นได้อย่างสม่ำเสมอ และทั่วถึง
  • จบลงด้วยการล้างออกด้วยน้ำค่อน ข้างเย็นเพื่อกระตุ้นกระชับรูขุมขนที่หนังศีรษะ ทั้งช่วยให้เส้นใยของผมทรงตัวดี ลดอาการผมลีบ และเพิ่มความเงาและน้ำหนักให้เส้นผม
ที่มา: http://www.perfectly-health.com/index.php?lay=show&ac=article&Id=538713176&Ntype=4

วันอังคารที่ 13 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

เมื่อรังแครังควาน แก้ได้ด้วยสูตรธรรมชาติ



รังแค (dandruff) เกิดจากผิวหนังอักเสบ ส่งผลให้เซลล์หนังศีรษะตาย และเกิดการเพาะตัวของเชื้อรา

ซึ่งจับตัวรวมอยู่กับน้ำมันจากต่อมไขมัน จนหลุดลอกออกเป็นขุย เป็นแผ่นๆ หรือเป็นผงเล็กๆ

ติดอยู่ตามเส้นผม และหนังศีรษะ ทำให้ศีรษะมีกลิ่นเหม็น และมีอาการคัน รังแคเกิดได้กับ

ทั้งคนผมแห้งและผมมัน ในผู้ที่มีผมมัน มักเกิดจากกรดไขมันบนหนังศีรษะ ซึ่งทำให้ระคายเคือง

ต่อเซลล์รอบรากขน และไปกระตุ้นให้เซลล์โตเร็วขึ้น จนลอกออกเป็นรังแค แต่สำหรับคนที่มี

หนังศีรษะปกติ เกิดจากการขาดความชุ่มชื้น หรือขาดการดูแลรักษาความ สะอาดเส้นผม

ในบางรายอาจอาจจะมีปัญหาของโรคผิวหนังตามมา เช่น ผิวหนังอักเสบ โรคสะเก็ดเงิน

โรคแพ้สารเคมี หรือหนังศีรษะถลอก เนื่องมาจากการแคะ แกะ เกา หรือในรายที่เป็นมาก

อาจเป็นที่คิ้ว ร่องจมูก แก้ม ไรผม รอบหู หลังหู รักแร้ และอวัยวะเพศ

5 ข้อควรเลี่ยงเมื่อเป็นรังแค


1.
ความเครียด ก็มีส่วนสำคัญไม่น้อยในการไปกระตุ้น หรือซ้ำเติมปัญหา
ผิวหนังขึ้นมาได้

2.
อาหารที่ควรหลีกเลี่ยงได้แก่ น้ำตาล แป้ง ไขมัน เครื่องเทศต่างๆ
และเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ทุกชนิด เพราะจะทำให้หนังศีรษะมัน
และเป็นตัวกระตุ้นให้เกิดรังแค

3.
หลีกเลี่ยงการใช้ผลิตภัณฑ์เพื่อ ความงาม ที่ระคายเคืองต่อหนังศีรษะ
เช่น น้ำยาย้อมสีผม น้ำยายืดผม น้ำยาดัดผม น้ำมันใส่ผม สเปรย์จัด
แต่งทรงผม เยล และมูสต่างๆ

4.
ไม่เกาหรือถูหนังศีรษะแรงๆ เพราะจะทำให้หนังศีรษะถลอก
และกระตุ้นให้เกิดรังแคมากขึ้น

5.
เลี่ยงแชมพูที่มีส่วนผสมของสาร เคมี แต่ควรเลือกใช้แชมพู
สระผมชนิดอ่อน เพราะจะช่วยควบคุมการเกิดไขมัน โดยไม่ไป
ซ้ำเติมหนังศีรษะมากนัก

น้ำมันหอมถนอมหนังศีรษะ

หลังจากลองปรับเปลี่ยนพฤติกรรมต่างๆ แล้ว ลองใช้น้ำมันหอมช่วยเสริมอีกทางก็ได้


ธาตุเจ้าเรือนดิน ใช้ไม้จันทน์ แพ็ทชูลี่

ธาตุเจ้าเรือนน้ำ ใช้ลาเวนเดอร์ เจอเรเนียม

ธาตุเจ้าเรือนลม ใช้ตะไคร้ มะกรูด

ธาตุเจ้าเรือนไฟ ใช้โรสแมรี่ ทีทรี ไม้จันทน์

วิธีใช้


แบบที่ 1 ผสมน้ำมันนวด แล้วนวดลงบนหนังศีรษะ (น้ำมันตัวกลาง
ในการผสม ขอแนะนำให้ใช้น้ำมันงา น้ำมัน มะพร้าว น้ำมันโจโจบา
หรือน้ำมันสวีทอัลมอนด์) นวดให้ทั่วหนังศีรษะ ห่อด้วยผ้าขนหนู
ชุบน้ำอุ่น (เหมือนหมักผม) ทิ้งไว้ 1-2 ชั่วโมง แล้วจึงสระผมออก
ด้วยแชมพูชนิดอ่อน แล้วล้างออกด้วยน้ำอุ่น

แบบ ที่ 2 ผสมลงในแชมพูที่ไม่มีกลิ่น แล้วใช้สระผม
ญหารังแคจะค่อยๆ หมดไป

5 สูตรสมุนไพรไล่รังแค

แชมพูสมุนไพร มีสรรพคุณในการรักษารังแคและเส้นผมทุกสภาพ โดยไม่เสี่ยงต่อ

อันตรายจากสารเคมี


1.
มะนาว ใช้ไข่แดงล้วนๆ 1 ฟองตีให้แตกนำมาชโลมให้ทั่วศีรษะ ทิ้งไว้
สักครู่แล้วล้างออกให้สะอาด หลังจากนั้นใช้น้ำมะนาวประมาณ 1
ช้อนโต๊ะผสมน้ำเปล่า 1 ถ้วย นำมาสระผม เพื่อล้างสารตกค้างที่
ก่อให้เกิดรังแคออกจากผม

2.
มะกรูด ใช้แชมพูชนิดอ่อนสระผมให้สะอาด จากนั้นนำมะกรูด 1-2 ลูก
ต้มในน้ำประมาณ 3-5 แก้วให้เดือด ทิ้งให้อุ่น แล้วขยำลูกมะกรูด
ในน้ำ จากนั้นกรองเอาเนื้อและกากออก นำน้ำมะกรูดที่ได้มาสระผม
ชโลมทิ้งไว้สัก 5-10 นาที แล้วล้างออก ทำเป็นประจำสัปดาห์ละ 3 ครั้ง

3.
ว่านหางจระเข้ ปอกเปลือกใบสดของว่านหางจระเข้ออก เหลือแต่วุ้น
ประมาณ 1 ถ้วย แล้วปั่นหรือบด จากนั้นนำไปหมักผมทิ้งไว้ 30 นาที แล้วจึงล้างออก

4.
น้ำซาวข้าว เก็บน้ำซาวข้าวและตั้งทิ้งไว้จนตกตะกอน จากนั้นเทน้ำซาว
ข้าวใสๆ ข้างบนทิ้งไป ชโลมหลังสระผมแล้วทิ้งไว้ 15 นาที จึงค่อย
ล้างออก ผมจะเงางาม รังแคจะหายไป

5.
ตะไคร้ นำ ตะไคร้สด 3 ต้น ทุบให้แตก แช่ไว้ในน้ำ 1 ลิตร ประมาณ
10 นาที ขยำให้น้ำตะไคร้ออก แล้วนำน้ำตะไคร้มาชโลมผม
หมักทิ้งไว้ ประมาณ 10 นาที แล้วล้างออกด้วยน้ำสะอาด ทำ
ติดต่อกัน 3 วัน

ขจัดรังแคตามสภาพเส้นผม


ผมมัน สระผมด้วยแชมพูสำหรับผมมันโดยเฉพาะ แล้วสระซ้ำด้วย
แชมพูป้องกันรังแค ที่มีส่วนผสมของกำมะถัน เช่น ซีบูเลกซ์ (sebulex)
ซีบูโทน (sebutone) หรือ เซลซัน (selson) เพื่อลอกเซลล์ที่ตายแล้ว
และลดการผลิตน้ำมันจากต่อมไขมัน จากนั้นให้ล้างออกด้วยน้ำ มะนาว
(ผสมน้ำมะนาว 1 ลูกในน้ำอุ่น 1 ถ้วย) ราดลงบนศีรษะ ขยี้ให้ทั่ว
แล้วล้างออกด้วยน้ำเย็น

ผมแห้ง นวดผมและหนังศีรษะด้วยโลชั่นที่ใช้ทาผิว 1/4 ถ้วย เอาผ้า
ผ้าขนหนูชุบน้ำร้อน บิดให้หมาดแล้วโพกศีรษะทิ้งไว้ประมาณ
15-20 นาที ขั้นต่อไปให้สระผมด้วยแชมพูป้องกันรังแคสูตรอ่อนโยน
แล้วล้างออกให้สะอาดด้วยน้ำอุ่น

ผมธรรมดา สระผมด้วยแชมพูสำหรับผมธรรมดา แล้วใช้น้ำแอสไพริน
(ผสมยาแอสไพริน 6 เม็ด ในน้ำอุ่น 1 ถ้วย) ชโลมผมให้ทั่ว ปล่อยทิ้งไว้
15 นาที เพื่อให้ตัวยาซึมเข้าไปในเส้นผมและหนังศีรษะ แล้วล้างออก
ด้วยน้ำสะอาด เมื่อรังแคหายดีแล้ว ให้กลับไปใช้วิธีดูแล ความสะอาด
เส้นผมตามปกติ

ผมทำสีหรือ ผมดัด สระด้วยแชมพูที่มีส่วนผสมของโปรตีน หรือแชมพู
ที่มีปริมาณกรดสมดุล จากนั้นจึงสระด้วยแชมพูป้องกัน รังแคสูตร
อ่อนโยนผสมซิงก์ไพริไทออน (zinc pyrithione) หลังล้างเส้นผม
จนสะอาดแล้ว ให้ใช้ครีมนวดผสมโปรตีนที่มีค่าพีเอชต่ำ

เมื่อสระผมเสร็จแล้ว ควรเป่าหรือเช็ดผมให้แห้ง อย่าปล่อยให้ผมแห้งเอง

และไม่ควรนอนหรือรวบผมในขณะที่ผมยังไม่แห้ง เพราะจะทำให้

เส้นผมชุ่มน้ำมันได้เร็วขึ้น ถ้าเป็นไปได้ให้หลีกเลี่ยงการใช้สเปรย์

เพราะเป็นตัวช่วยจับฝุ่นและน้ำมัน

ที่มา: http://www.yourhealthyguide.com/article/ag-dandruff-cure.html

8 วิธีเพื่อผมสวยสุขภาพดี



สาว ๆ ที่มีผมแห้งชี้ฟูคงจะหนักใจไม่น้อย เวลาที่เดินไปไหนมาไหนแล้วผมปลิวไปตามลมแต่ดันไม่ยอมทิ้งตัวกลับสู่สภาพเดิม ซะอย่างนั้น เฮ้อ.. งานนี้จะทำยังไงดีล่ะเนี่ย อุตส่าห์ใช้ยาสระผมสูตรผมนุ่มก็แล้ว ใช้ทรีทเม้นท์ก็แล้ว ก็ยังไม่มีวี่แววว่าผมจะมีน้ำหนักเสียที

มีวิธีง่าย ๆ มาฝาก อาจจะต้องทำอะไรหลายอย่างหน่อยก็ต้องยอมแล้วนะคะ เพื่อผมสวยสุขภาพดีของคุณนั่นแหละ เอ้า.. ว่าแล้วก็ไปดูกันดีกว่า

1. ใช้เซรั่มทุกครั้งหลังสระผม เพราะเซรั่มเป็นอาหารผมที่เข้มข้นที่สุดในบรรดาผลิตภัณฑ์บำรุงผมต่าง ๆ ดังนั้น ก็เลยเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้เลยล่ะค่ะ โดยคุณอาจจะปรึกษาช่างผมก่อนที่จะเลือกใช้ ว่าเซรั่มตัวไหนดีต่อสภาพผมคุณมากที่สุด ทั้งนี้ก็เพื่อให้คุณได้ใช้ผลิตภัณฑ์ที่ถูกกับผมนั่นเองค่ะ

2. ใช้คอนดิชันเนอร์แบบลีฟอิน ซึ่งเป็นคอนดิชันเนอร์ที่ดีต่อผมคุณมาก ๆ เลยล่ะค่ะ อย่างในปัจจุบันนี้ก็มีคอนดิชันเนอร์ลีฟอินหลายชนิดให้เลือกใช้กัน ไม่ว่าจะเป็นแบบสเปรย์หรือว่าโลชั่น ใช้ควบคู่ไปกับเซรั่มจะดีที่สุดนะคะ

3. สระผมด้วยน้ำเย็น ในบางสูตรอาจจะบอกว่าควรสระผมด้วยน้ำอุ่น แต่อ๊ะ ๆ อยากจะบอกเหลือเกินค่ะว่าน้ำอุ่นนั่นแหละเป็นตัวทำให้ผมคุณแห้งมากขึ้นเยอะ เลยทีเดียว ดังนั้นหลังจากที่คุณสระผมและหมักผมด้วยคอนดิชันเนอร์แล้ว แนะนำให้คุณล้างผมด้วยน้ำเย็นจะดีกว่า เพราะมันจะทำให้ผมของคุณยังคงความชุ่มชื้นอยู่ และแน่นอน มันทำให้ผมคุณดูมีสุขภาพดีขึ้นได้ค่ะ

4. อย่าเป่าผมด้วยการจี้ไดร์เป่าผมลงไปชิดกับผมนัก เพราะมันทำให้ผมของคุณแห้งชนิดที่เรียกว่าแห้งกรอบเลยล่ะค่ะ อีกทั้งยังทำให้ผมคุณเสีย แตกปลายได้ง่าย ๆ อีกด้วย ดังนั้นหากเป็นไปได้ ควรเป่าผมด้วยลมเย็น หรือลมอุ่น ๆ ดีกว่า ซึ่งไดร์เป่าผมแต่ละตัว สมัยนี้เค้าก็ทำให้มีทั้งลมหลายระดับให้เลือกกันอยู่แล้ว

5. ใช้สเปรย์เพิ่มความเงางามให้เส้นผม เพื่อทำให้ผมของคุณดูสุขภาพดี เงางามค่ะ อ๊ะ แต่ขอแนะนำให้เป็นสเปรย์ที่ช่วยบำรุงผมไปพร้อม ๆ กันด้วยนะคะ เพราะมันจะช่วยปกป้องผมของคุณด้วยล่ะ

6. ดื่มน้ำเยอะ ๆ น้ำนอกจากจะดีต่อสุขภาพร่างกายแล้ว คุณรู้หรือไม่ว่ามันยังดีต่อสุขภาพผมของคุณอีกด้วย เพราะมันเป็นการเพิ่มความชุ่มชื้นให้กับผมคุณค่ะ เอ้า ดังนั้นถ้าใครอยากมีผมสวยก็ควรดื่มน้ำให้เพียงพอ คือประมาณ 6-8 แก้วต่อวันนะคะ

7. กินอาหารที่มีประโยชน์ โดยเฉพาะอาหารที่มีวิตามิน A และ E จะทำให้ผมคุณมีน้ำหนักและมีสุขภาพดีขึ้นได้ นอกจากนี้ อย่าลืมทานโปรตีนเพื่อเสริมสร้างการเจริญเติบโตของเส้นผม ซึ่งอาหารประเภทโปรตีนที่ดีต่อเส้นผม ได้แก่ ไข่และถั่วค่ะ

8. หลีกเลี่ยงสารเคมีแรงจัด ไม่ว่าจะเป็นการดัด ย้อม ทำสี ยืด รวมถึงการใช้ความร้อนสะสมทุกวัน ๆ ล้วนแล้วแต่เป็นสิ่งที่ทำลายสุขภาพผมคุณทั้งนั้นค่ะ อ้อ สารเคมีแรงจัดนี้รวมไปถึงผลิตภัณฑ์ที่มีแอลกอฮอล์ด้วยนะคะ ตัวบั่นทอนสุขภาพผมสวยของคุณตัวดีเลยทีเดียว

อย่างไรก็ดี การมีสุขภาพผมที่ดีและมีน้ำหนักนั้น คุณจำเป็นต้องปฏิบัติไปพร้อม ๆ กันทั้ง 8 ข้อเลยนะคะ ฮั่นแน่ ดูเหมือนจะยุ่งยากวุ่นวายใช่มั้ยล่ะ แต่หากลองทำดูจริง ๆ แล้ว จะพบว่าไม่ยากเลยค่ะ เพียงแค่คุณเจียดเวลามาดูแลเส้นผมวันละนิด เพียงเท่านี้ คุณก็จะได้เป็นเจ้าของผมสวยสุขภาพดีแล้วล่ะค่ะ

ที่มา: http://women.kapook.com/view14714.html

กีวีผลไม้มีประโยชน์


กีวี ถือเป็นผลไม้ชนิดหนึ่งที่มีประโยชน์ต่อร่างกายสูง วันนี้มีประโยชน์ที่ได้รับจากกีวีมาบอกกันค่ะ…

- แหล่งวิตามินซีในปริมาณสูงสุด

กีวีสีเขียวและกีวีโกลด์ หรือกีวีสีทอง กีวีทั้งสองชนิดมีปริมาณวิตามินซีสูงสุดถ้าเทียบกับผลไม้ชนิดอื่น เช่น ส้ม หรือมะละกอ จากการวิจัยพบว่า กีวี หนึ่งผลมีวิตามินซีมากกว่าส้มหนึ่งลูกถึง 74% การรับประทานกีวีสองผลต่อวันจะช่วยเพิ่มปริมาณวิตามินซีในร่างกายอย่างเห็น ได้ชัด ช่วยกระตุ้นการทำงานของภูมิคุ้มกันโรคซึ่งจะช่วยป้องกันไข้หวัด และซ่อมแซมร่างกายส่วนที่สึกหรอแถมยังกระตุ้นการสร้างเซลล์ใหม่ๆ

- อุดมด้วยโฟเลต สำหรับคุณแม่ตั้งครรภ์

โฟเลตมีบทบาทสำคัญในการสร้างสารพันธุกรรม จำเป็นอย่างยิ่งสำหรับเด็กทารกและคุณแม่ที่กำลังตั้งครรภ์ เพราะเป็นช่วงที่ร่างกายต้องการเซลล์ใหม่เป็นจำนวนมาก การรับประทานโฟเลตเป็นประจำทั้งก่อนและระหว่างตั้งครรภ์ จะช่วยทำให้ผิวและเซลล์เม็ดเลือดมีสุขภาพดี กีวีมีปริมาณโฟเลตสูงสุดเมื่อเปรียบเทียบกับกล้วย มะม่วง สัปปะรด และแอปเปิ้ล โดยมากกว่ากล้วย 49% และมากกว่ามะม่วงถึง 112.8%

- สุดยอดคุณค่าวิตามินอี

วิตามินอี มีคุณสมบัติช่วยชะลอความแก่ ด้วยสารต้านอนุมูลอิสระที่ลดความเสื่อมของอวัยวะต่างๆ อีกทั้งยังช่วยลดระดับคอเลสเตอรอล และช่วยในการไหลเวียนของเลือดอีกด้วย จากการวิจัยพบว่า กีวีมีปริมาณวิตามินอีสูงสุด โดยเฉพาะกีวีทอง จะมีวิตามินอีมากกว่ามะม่วงถึงหนึ่งเท่า

- เต็มที่ด้วยพลังไฟเบอร์

ไฟเบอร์หรือเส้นใยอาหารเป็นสารที่ไม่ให้พลังงานในร่างกาย แต่สามารถทำให้อิ่มได้เร็วและนาน นอกจากนี้ ยังช่วยชำระล้างและปรับปรุงระบบย่อยอาหาร รวมถึงส่งเสริมให้หัวใจและร่างกายแข็งแรง กีวีเขียวหนึ่งผลมีปริมาณไฟเบอร์มากกว่ากล้วย 15% และมากกว่าแอปเปิ้ลและส้มถึง 25%

รู้อย่างนี้แล้ว หันมารับประทานกีวีกันเยอะ ๆ เพื่อสุขภาพที่ดีแถมยังไม่อ้วนอีกด้วย

ที่มา: http://health.deedeejang.com/2/1810.html

“เสน่ห์” ผู้หญิงสร้างได้


“เสน่ห์” ผู้หญิงสร้างได้

เคยสงสัยมั๊ยคะ ทำไมผู้หญิงคนนี้ไม่เห็นสวยเลย(แค่พอดูได้เอง ชั้นสวยกว่าตั้งเยอะ) แต่ทำไมมีหนุ่มๆมาจีบเยอะจัง คำตอบคือ เพราะเค้าเป็นคนมีเสน่ห์ค่ะ ซึ่งเสน่ห์ใครๆก็สร้างได้ ฝึกได้ และถ้าทำได้แล้วมันจะเป็นไปโดยธรรมชาติ ทำให้เรามีเพื่อนเยอะ แล้วเหล่าบรรดาคุณผู้ชายก็ชอบด้วยค่ะ

1. การพูดจา ขี้อ้อน เอาอกเอาใจ


2. การแต่งตัว น่ารัก สมวัย เหมาะกับกาละเทศะ

3. ยิ้มแย้ม แจ่มใส มีมนุษยสัมพันธ์ดี

4. มีเสน่ห์ปลายจวัก ไม่ว่ายุคสมัยไหน ถามผู้ชายไทยได้เลย

5. ไม่จุกจิก จู้จี้ขื้บ่น ยากหน่อยนะคะแต่ก็ต้องฝึกค่ะ

6. คุย รู้เรื่องและคุยสนุก ไม่ใช่แค่ค่ะ ค่ะ ค่ะ อย่างเดียว มันดูน่าเบื่อ

7. รู้จักใช้จ่ายเงิน ไม่ใช่ช๊อปปิ้งแหลก ผู้ชายเห็นแล้วกลัวกระเป๋าฉีก

8. รัก เด็ก รักสัตว์(อย่างจริงใจ) เพราะมันดูมีเมตตา เป็นผู้ยิ๊ง ผู้หญิงค่ะ

9. ใส่ใจและสนใจรายละเอียดเล็กๆน้อยๆของคนรอบข้าง เช่น จำวันเกิดของเขาได้ และรู้ว่าเค้าชอบอะไร ไม่ชอบอะไร

ที่มา: http://nongcupid.blogspot.com/2009/04/1_7992.html

สวยแบบง่ายๆ และ สบายกระเป๋า


เดี๋ยวนี้สาวๆ นิยมฉีดโบท็อกซ์เพื่อคลายริ้วรอยเหี่ยวย่นรอบดวงตาแต่ก็ทำให้กระเป๋าเบาทัน ใจเช่นกัน ถ้าอยากสวยถาวรด้วยวิธีง่ายๆ สบายกระเป๋าก็ต้องเลือกอาหารที่ดีต่อสุขภาพผิวดังต่อไปนี้

- ผล Berry ทั้งหลาย ไม่ว่าจะเป็นบลูเบอรี่ ราสพ์เบอรี่ และใหม่ล่าสุด Acai Berry นับว่าเป็นสุดยอดของผลไม้ที่มีสารต้านอนุมูลอิสระแถมด้วยไบโอฟลาโวนอยดฺ์ วิตามินซีที่จำเป็นต่อการต่อต้านความเสื่อมและยังจำเป็นต่อการเสริมสร้าง เนื้อเยื่อคอลลาเจนและอิลาสตินที่ทำให้ผิวหนังแข็งแรง เรียบเนียน ไม่มีริ้วรอย

- Resveratrol แอนตี้ออกซิแดนต์สำคัญที่พบในองุ่นสีม่วงหรือไวน์แดง ช่วยต่อต้านอนุมูลอิสระ ลดความเสื่อมความชรา และช่วยป้องกันภาวะผิวเหี่ยวย่นแก่ก่อนวัยได้เป็นอย่างดี

- Fish Oil น้ำมันปลาคุณภาพสูง เป็นสารต้านอนุมูลอิสระ ลดการอักเสบทุกอวัยวะโดยเฉพาะอย่างยิ่งการอักเสบของหลอดเลือด ป้องกันโรคหัวใจและหลอดเลือด และยังเสริมให้เซลล์ประสาทและสมองทำงานแข็งแรง มีผลลดการอักเสบของผิวพรรณ ช่วยลดปัญหาผิวแห้ง และปัญหาที่แพ้ รับประทานปลาทะเลน้ำลึกสัปดาห์ละ 2-3 ครั้ง หรือ เลือก Fish Oil แบบแคปซูลได้

- Evening Primrose Oil โอเมก้า 6 ชนิดที่ช่วยต่อต้านการอักเสบ จึงใช้มากในการรักษาโรคภูมิแพ้ ช่วยให้ผิวหนังแข็งแรง มีความชุ่มชื้นตามธรรมชาติ ลดปัญหาอาการผิดปกติก่อนมีรอบเดือน PMS ได้เป็นอย่างดี

แถมด้วยอีก 2 สิ่งที่ทำได้ง่ายๆ คือ งดอาหารหวานจัด – และดิ่มน้ำเปล่าวันละ 8 แก้ว เท่านี้ก็สวยทันตาแบบไม่เปลืองเงินแล้ว

ที่มา: http://health.deedeejang.com/4/1966.html

นวดหน้าลดริ้วรอย


มีวิธีนวดหน้าลดริ้วรอยมาบอก…

- เริ่มจากบริเวณหน้าผาก ให้ใช้นิ้วกลางและนิ้วนางเริ่มจากกึ่งกลางหน้าผากนวดวนขึ้นเป็นแนวขดลวด (ขึ้นหนักลงเบา) นวดจนถึงบริเวณขมับ 6 จังหวะ ทำซ้ำ 3 ครั้ง โดยครั้งสุดท้ายให้กดจุดที่ขมับเพื่อความผ่อนคลาย

- บริเวณรอบดวงตา และยกกระชับริมฝีปาก ใช้นิ้วกลางและนิ้วนางนวดเบาๆ บริเวณใต้ตา โดยเริ่มจากแนวโครงกระดูกเบ้าตาล่าง วนไปมาเบาๆ นับ 1 ครั้ง ทำซ้ำ 3 ครั้ง จากนั้นเริ่มนวดจากบริเวณใต้โพรงจมูก ลูบออกด้านข้างในลักษณะยกผิวขึ้น ลูบไปมา 3 ครั้ง และเลื่อนนิ้วลงมาบริเวณใต้ท้องริมฝีปากล่าง ลูบออกตามแนวริมฝีปากในลักษณะยกขึ้น ทำซ้ำ 3 ครั้ง

- ยกกระชับกล้ามเนื้อบริเวณมุมปาก ใช้ปลายนิ้วทั้งสองข้างนวดจากบริเวณ กึ่งกลางคางขึ้นไปที่บริเวณมุมปากใน ลักษณะยกขึ้น ทำซ้ำ 3 ครั้ง

- ยกกระชับกล้ามเนื้อบริเวณแก้ม ใช้ปลายนิ้วทั้งสองข้างนวดจากบริเวณมุม ปากในลักษณะยกผิวขึ้นเป็นมุมกว้าง ค้างไว้สักครู่แล้วค่อยลูบลง ทำซ้ำ 3 ครั้ง

- ผ่อนคลายความตึงเครียดบริเวณดวงตา ใช้นิ้วกลางและนิ้วนางกดบริเวณหัวตาทั้ง 2 ข้าง กดเบาๆ นับ 1-3 แล้วลูบผ่านเปลือกตา และวนรอบดวงตา กลับมากดที่หัวตา ทำซ้ำ 3 ครั้ง โดยครั้งสุดท้ายลูบผ่านเปลือกตาไปกดจุดที่บริเวณขมับ

เพียง เท่านี้ก็สามารถทำให้ริ้วรอยบนใบหน้าลดลงได้ แถมยังทำให้ผ่อนคลายได้อีกด้วย.

ที่มา: http://health.deedeejang.com/4/1814.html

วันอาทิตย์ที่ 11 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

การเสริมบุคลิกตามรูปร่าง



ทรงตรงเหมือนหลอดหรือทรงกระบอก
(Tube Shape)

ลักษณะโครงสร้าง


-หุ่นทรงตรงไม่มีส่วนเว้า ส่วนโค้ง
-มัก จะมีช่วงขาที่เรียวยาว และสวยงาม
-ร่างกายเผาผลาญอาหารได้ดี

การแต่งกายให้เหมาะสม

-ควรเน้นช่วงเอว เพื่อให้ดูมีส่วนโค้งส่วนเว้าเพิ่มขึ้น เช่นมีสายคาดเอว หรือเข็มขัด
-ใช้ โทนสีเดียวในการแต่งตัวจะได้ดูสวยสง่า
-ควรหลีกเลี่ยงกางเกงขาบานเพราะจะ ทำให้ลำตัวดูตรงขึ้น

อาหารที่เหมาะสม

-เส้นพาสต้า
-เส้นหมี่แบบโฮลวีท
-ขนม ปังโฮลวีท
-มะเขือยาวหรือมะเขือม่วง
-มันฝรั่ง
-มะม่วง
-ถั่ว ลันเตา
-ข้าวโพด
-แครอท

ทรงแอปเปิ้ล
(Apple Shape)

ลักษณะโครงสร้าง

มีลำตัวช่วงบนเล็กกว่าช่วงล่างอย่าง สังเกตได้ชัด
-เป็นรูปร่างที่ผู้หญิงไม่ค่อยชอบเพราะหาเสื้อผ้าใส่ยาก
-มี ช่วงแขนที่กระชับได้รูป แต่มีช่วงขาที่ค่อนข้างใหญ่
-มีสะโพกและบั้น ท้ายที่ใหญ่

การแต่งกายให้เหมาะสม

-ควรแต่งตัวด้วยสีเข้มจะช่วยพรางรูปร่าง ให้ดูบางลง
-เลือกกางเกงขาตรง หรือปลายสอบนิด ๆ
-ควรเลือกกระโปรง สั้นมากกว่ากระโปรงยาว
-ไม่ควรแต่งกายรัดรูปจนเกินไป
-เลือกรองเท้า ที่มีส้นจะได้ดูรูปร่างสูงโปร่งมากขึ้น

อาหารที่เหมาะสม


-พริกหวานแดง
-เซเลอรี่หรือ ขึ้นฉ่ายฝรั่ง
-เห็ดต่าง ๆ
-แครอท
-มะละกอ
-ลูกแพร์
-อินทผลัม
-กี วี่

ทรงนาฬิกาทราย(Hourglass Shape)

ลักษณะโครงสร้าง

-เป็นเรือนร่างแบบผู้หญิงแท้ ๆ มีหน้าอก และมีเอวคอด
-หน้าอกเต็ม และไม่ดูใหญ่จนเกินไป
-มีแผ่นหลังที่สวย งาม เต็มตึง
-ส่วนกว้างของสะโพกกับส่วนกว้างของไหล่จะมีขนาดเท่ากัน
-มี ช่วงขาที่เต็มตรึง

การแต่งกายให้เหมาะสม

-เสื้อผ้าเข้ารูป เน้นที่ส่วนเอว และสะโพก
-คาดเข็มขัดได้สวยแทบทุกทรงทุกแบบ
-ควรเลือกชุดชั้นในให้ กระชับโดยเฉพาะยกทรงเพราะจะช่วยเสริมสร้างรูปร่างให้ดูดีขึ้น
-ไม่ควร แต่งตัวหลวม ๆ หรือรุงรัง จะทำให้ดูตัน เพราะไม่เห็นช่วงเอวอันเป็นจุดเด่นของรูปร่าง

อาหารที่เหมาะสม

-หน่อไม้ฝรั่ง
-เห็ดชนิดต่าง ๆ
-ผัก โขม
-แตงสารพัดชนิด แตงโม แตงไทย แคนตาลูป
-สับปะรด
-สตรอเบอร์ รี่
-ถั่วและงา
-ข้าวกล้อง

ทรงลูกแพร์ หรือชมพู่
(Pear Shape)

ลักษณะโครงสร้าง


-มีลำตัวช่วงบนเล็กกว่าช่วงล่างอย่างสังเกตได้ชัด
-เป็น รูปร่างที่ผู้หญิงไม่ค่อยชอบเพราะหาเสื้อผ้าใส่ยาก
-มีช่วงแขนที่กระชับ ได้รูป แต่มีช่วงขาที่ค่อนข้างใหญ่
-มีสะโพกและบั้นท้ายที่ใหญ่

การแต่งกายให้เหมาะสม

-เสื้อสูทหรือแจ็คเกตที่ยาวคลุมสะโพกจะช่วยพรางบั้นท้าย ได้
-มักจะดูดีในกระโปรงย้วยหรือกระโปรงทรงเอ
-ควรเลือกท่อนล่างสี พื้น สีทึบ ๆ และสีสดและลายเพื่อจะเกิดความสมดุล
-ไม่ควรใส่กระโปรง สั้น และกางเกงขาสั้นเพราะจะทำให้สะโพกดูใหญ่และขาดูสั้นลง
-ควรใช้ เข็มขัดเพื่อให้ดูเอวคอด

อาหารที่เหมาะสม

-กะหล่ำปลี ดอกกะหล่ำ
-เห็ดชนิดต่าง ๆ
-หัวหอมใหญ่
-ข้าวกล้อง
-แค รอท
-งาขาว งาดำ


ที่มา: http://www.thainn.com/blog.php?m=cs_23&d=8551



วิธีคงความงามของเรือนกาย ให้ผิวสวยกระชับเต่งตึง นุ่มนวลน่าสัมผัส


โดยปกติแล้วเซลล์ผิวจะผลัดทุก 28 วัน แต่กระบวนการนี้จะเกิดช้าลงไปเรื่อยๆ เมื่อเรามีอายุมากขึ้น จึงเกิดการทับถมของเซลล์ผิวที่ตายแล้ว ทำให้ผิวพรรณดูไม่สดใสหยาบกร้าน การอาบน้ำขัดผิวกายเป็นประจำ จะช่วยให้ผิวสวยนุ่มนวลซึมซับมอยส์เจอร์ไรเซอร์ได้ดียิ่งขึ้น

วงจรการผลัดเปลี่ยนเซลล์ผิว

ผิว กายจะผลัดเซลล์ผิวเก่าให้หลุดลอกตามธรรมชาติ วันละประมาณ 4% ของเซลล์ผิวทั่วร่างกายถุงเท้าที่ถอดออกมาจาก เท้าทั้งสองข้างของแต่ละวันจะมีเศษเซลล์ผิวเก่าอย่างน้อย 190 มก. หากเซลล์เก่าไม่หลุดลอกก็จะสะสมที่ผิวหนังเป็นชั้นหนา อย่างบริเวณที่มีการเสียดสีอยู่ตลอดเวลา เช่น ส้นเท้า หัวเข่าและข้อศอก ซึ่งจะกลายเป็นส่วนที่หยาบ แห้งกร้านและขาดความชุ่มชื่น วงจรของการผลัดเปลี่ยนเซลล์ผิวอยู่ที่ประมาณ 21-28 วัน ในวัยเด็กและหนุ่มสาววงจรของการผลัดเปลี่ยนเซลล์ผิวจะเป็นไปอย่างรวดเร็ว จึงทำให้ผิวของเด็กๆสวยในอยู่ตลอดเวลา แต่เมื่ออายุมากขึ้นกระบวนการต่างๆ ทำงานช้าลงผิวจึงเกิดความหม่นหมอง แต่สามารถช่วยได้ด้วยการขัดผิวกาย

การปัดแปรงผิว

เพื่อกระตุ้นการหมุนเวียน ของโลหิต และระบบต่อมน้ำเหลือง ขจัดของเหลวส่วนเกินออกจากเนื้อเยื่อผิว ช่วยขจัดอาการบวมน้ำ ผิวก็จะสดใสนุ่มนวล ควรปัดแปรงผิวในขณะที่ผิวแห้งอย่าทำให้ผิวเปียกเด็ดขาดเพราะผิวอาจยืดได้ ใช่แปรงปัดในลักษณะวนจากศีรษะ จดปลายเท้าเซลล์ผิวที่ตายแล้วจะหลุดร่วงออกไป เปิดทางให้รูขุมขนทำ หน้าที่ขจัดเหงื่อไคลได้ดียิ่งขึ้นเพื่อเตรียมผิวสำหรับทามอยส์เจอไรเซอร์

ขัดสีฉวีวรรณ

การขัดผิวกาย คือการแปรงผิว โดยใช้แปรง ฟองน้ำ หรือใยบวบตากแห้ง หลังอาบน้ำใช้มือขัดถูอย่างรวดเร็วตามผิวกายขึ้นไปสู่หัวใจเริ่มจากปลายเท้า ปลายขา ปลายแขน ขึ้นมาถึงบริเวณส่วนท้อง และจากหัวไหล่ลงมาบริเวณหน้าอก หากใช้ใยบวบที่มีผิวแข็งขึ้น จะช่วยกระตุ้นการทำงานของระบบไหลเวียนของโลหิตให้ทำงานได้ดียิ่งขึ้น ช่วยให้เซลล์ผิวเก่าหลุดลอกเผยผิวใหม่ที่สวยใสกว่า หากจะให้ดีไปกว่านั้นควรใช้ใยบวบหรือถุงมือผ้าขนหนูขัดร่วมกับเจล ครีมขัดผิวกาย นอกจากการขัดผิวจะช่วยให้เซลล์ผิวเก่าหลุดลอกแล้ว การขัดส่วนขาจะช่วยคลายอาการขนคุดที่ขาอีกด้วย และช่วยลดปัญหาเรื่องตุ่มสิว และความหม่นหมองของผิวได้อย่างดี บริเวณไหล่หลังควรขัดและนวดด้วยน้ำมัน ลองแช่ใยบวบในน้ำมันมะกอก และเกลือป่นหยาบ ขัดไปที่ไหล่หลัง แล้วล้างน้ำออกให้สะอาด เช็ดให้แห้งจึงทาครีม แผ่นหลังจะเนียนนวลน่าสัมผัส

เลือกอุณหภูมิของน้ำอาบ

น้ำอุ่นเหมาะสำหรับการทำ ความสะอาด ชำระร่างกาย ทั้งช่วยผ่อนคลายจิตใจให้คลายเครียด ช่วยลดความปวดเมื่อยหลังการออกกำลังกาย หลังอาบน้ำควรทาครีมมอยส์เจอไรเซอร์แก่ผิวกาย เพื่อรักษาความนุ่มนวลชุ่มชื่นแก่ผิว ควรหลีกเลี่ยงการอาบน้ำที่ร้อนเกินไป เพราะนอกจากจะทำให้ผิวแห้ง และทำลายน้ำมันหล่อเลี้ยงผิวตามธรรมชาติ ที่ช่วยเก็บกักความชุ่มชื่นของผิวแล้ว ยังทำให้หัวใจต้องทำงานมากขึ้น ในการขยายเส้นเลือดเพื่อจะช่วยให้ร่างกายเย็นลง การอาบน้ำเย็น เหมาะกับตอนเช้า เพื่อการปลุกเร้าสัมผัสทั้ง 5 และกล้ามเนื้อให้ตื่นขึ้นอย่างสดชื่น พร้อมที่จะเริ่มวันใหม่ ส่วนการอาบน้ำเย็นจัดนั้น เหมาะกับผู้ที่มีร่างกายแข็งแรง เพราะน้ำเย็นมีผลกระทบต่อร่างกายทั้งระบบ

การบำรุงผิว

การบำรุงผิว ก็เพื่อเพิ่มความชุ่มชื่นให้ผิว ไม่ว่าจะมีลักษณะผิวแบบใดก็ตาม ก็ขาดไม่ได้ที่จะบำรุงผิว สิ่งแรกคือทุกครั้งหลังอาบน้ำเสร็จใหม่ๆ เช็ดตัวให้แห้งสะอาดแล้ว ควรลูบไล้โลชั่นบำรุงผิว เพราะหลังอาบน้ำรูขุมขนของเราจะเปิดกว้าง ทำให้ผิวรับความชุ่มชื่น และคุณค่าเสริมที่มีในผลิตภัณฑ์บำรุงผิวได้เต็มที่ ควรเลือกใช้บอดี้โลชั่นให้ตรงกับผิวคุณ ผิวกายเราก็แบ่งประเภทเหมือนผิวหน้า บางคนอาจจะมีผิวหน้า ไม่ตรงกับผิวกายก็เป็นไปได้ และทุกครั้งที่ต้องออกนอกบ้านควรทา Sunscreen เพื่อปกป้องผิวจากยูวี หรือรังสีอัลตร้าไวโลเล็ตซึ่งเป็นตัวการสำคัญ ที่ทำให้ผิวสวยของคุณแห้ง หมองคล้ำ เพราะมันจะไปทำลายความยืดหยุ่นของเซลล์ และยังสามารถทะลุผ่านเสื้อผ้าของเราเข้าสู่ผิวได้ตลอดเวลา ทำให้เกิดริ้วรอยก่อนวัย *คุณรู้หรือไม่ว่าในช่วงเวลากลางคืน ขณะที่นอนหลับ ผิวจะเปิดรับความชุ่มชื่นได้ดีที่สุด ดังนั้นการลูบไล้โลชั่นก่อนนอนจึงให้ประโยชน์ต่อผิวสูงสุด

การออกกำลังกาย

เป็นที่ทราบกันดีอยู่แล้ว ว่าการออกกำลังในภาวะปกติ จะช่วยให้ออกซิเจนเข้าสู่เนื้อเยื่อเซลล์ทุกอณูของร่างกาย ช่วยให้สารอาหารซึมสู่เซลล์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้เซลล์เจริญเติบโตได้เป็นอย่างดี และรวดเร็วนั่นหมายถึงการผลิตคอลลาเจน ผิวจึงสวยสดใส มีน้ำมีนวล นักวิจัยค้นพบว่ายิ่งร่างกายได้รับออกซิเจนมากเพียงใด ยิ่งช่วยต่อต้านการเกิดอนุมูลอิสระได้มากเท่านั้น การออกกำลังกายด้วยการเต้นแอโรบิกการเดินอย่างเร็วๆ การวิ่งเหยาะ การปั่นจักรยาน ว่ายน้ำและแม้แต่การเต้นรำ ต่างช่วยกระตุ้นการไหลเวียนของโลหิตระบบขับถ่าย ให้ขจัดของเสียและสารพิษต่างๆพร้อมทั้งการหลั่งสารเอนดอร์ฟิน ที่ช่วยให้ร่างกายสดชื่น เป็นการต้านความเครียดที่เป็นตัวการสำคัญที่ทำให้ผิวหม่นหมอง การออกกำลังกายยังช่วยผ่อนคลายภาวะการปวดประจำเดือนได้ ในขณะที่ปวดท้องประจำเดือนนั้นมักจะหายใจสั้นๆถี่ ทำให้กล้ามเนื้อรัดหดตัว ลดการนำออกซิเจนสู่เนื้อเยื่อต่างๆ ทำให้เกิดอาการบวมน้ำ การออกกำลังกายด้วยการเต้นแอโรบิก จะช่วยให้ปอดขยายรับออกซิเจนได้มากขึ้น ทั้งยังขจัดของเสียออกจากผิว รวมทั้งของเหลวอื่นๆออกจากทุกส่วนของร่างกาย การออกกำลังกาย ยังช่วยลดความกังวลและความเครียดต่างๆ อันเนื่องมาจากจำนวนสารเอนดอร์ฟินลดลง ในช่วงเวลาที่มีรอบเดือน การออกกำลังกายจะช่วยให้สมองปลดปล่อย เบต้า-เอนดอร์ฟิน ทดแทนที่สูญเสียไป ช่วยให้รู้สึกสดชื่นขึ้น

มั่นดูแลและเอาใจใส่กับผิวของคุณเสีย ตั้งแต่วันนี้นะคะ เพราะไม่ว่าในอีกกี่สิบปี ข้างหน้าก็ตามคุณก็จะยังมีสุขภาพผิวที่ดี ไปในทุกฤดูกาลแน่นอนคะ

ที่มา: http://women.thaiza.com/detail_34421.html

หุ่นดี สวยโดนใจด้วย 6 วิธี


น้ำหนักส่วนเกินลดยังไงก็ไม่ลง นอกจากการควบคุมอาหารและออกกำลังกายแล้ว ยังมีวิธีที่สามที่ช่วยต่อกรกับไขมัน นั่นก็คือ "สู้ด้วยจิตใจ" กลอเรีย โทมัส ที่ปรึกษาด้านฟิตเนสบอก

6 Steps to a slimmer you

ใน ทางทฤษฏี การลดน้ำหนักไม่ใช่เรื่องยาก การกินอาหารที่มีคุณค่าครบถ้วนแต่พอประมาณ ออกกำลังกายเป็นประจำ จะช่วยเสริมสร้างกล้ามเนื้อ และสามารถควบคุมน้ำหนักให้อยู่ในระดับที่เหมาะสมได้ แต่ดูเหมือนความเบื่อหน่าย ความเครียด และอารมณ์ที่สับสน ทำให้คุณอดใจไม่ไหว หยิบไอศกรีมดับเบิ้ลช็อกชิปใส่ปาก อันเดียวไม่พอ เผลอๆ ถึงสอง อาหารกับความรู้สึกเกี่ยวข้องกัน ดังนั้นตามหลักเหตุผลแล้ว หากคุณต้องการกำจัดน้ำหนักส่วนเกินแล้ว คุณต้องเอาชนะความอยากกินให้ได้

1.รู้จักจุดอ่อนของตัวเอง
การทำความรู้จักพฤติกรรมการลดน้ำหนักของตัวเอง ถือเป็นการเริ่มต้นที่ดี จงทำเครื่องหมายหน้าข้อความต่อไปนี้ที่ตรงกับคุณ :

ฉันลง มือควบคุมอาหารวันจันทร์ พอวันพุธทุกอย่างก็กลับสู่อีหรอบเดิม
กินช็อกโกแลตทั้งที อันเดียวไม่พอหรอก อย่างฉันต้องครึ่งกล่อง
ฉัน ลดน้ำหนักเท่าไรก็ไม่ลงสักที
เครื่อง ชั่งน้ำหนักที่อยู่ในห้องน้ำเป็นสิ่งที่ฉันขาดไม่ได้
อาหารเป็นชีวิตจิตใจของฉัน
ฉันต้องคอยควบคุมอาหารเพื่อลดน้ำหนัก อยู่เป็นประจำ
ฉัน กินจุมาก
ฉันติด อาหารบางอย่างงอมแงม ต้องกิน ขาดไม่ได้
ฉันชอบกินตามใจปากตัวเอง
ฉันกินได้เรื่อยๆ ทั้งวัน
ฉันไม่มีเวลาออกกำลังกาย
ฉันไม่สนว่าอาหารชนิดไหนที่ควรระมัด ระวัง
ฉันลดน้ำหนัก มานับครั้งไม่ถ้วน แต่ดูเหมือนน้ำหนักยิ่งเพิ่ม
เวลาอยู่ต่อหน้าคนอื่น ฉันกินน้อย แต่พอกลับบ้าน กินไม่ยั้ง
ฉัน มักกินอาหารที่ลูกๆ กินเหลือทิ้งไว้
กิน ให้อิ่ม อย่าให้เหลือ นี่คือสิ่งที่ฉันยึดถือ
ฉันหลอกตัวเองเป็นประจำว่าอาหารที่กิน ไม่ทำให้อ้วน
ฉันจะ กินๆ เวลารู้สึกหดหู่หรือเครียด

สิ่งที่ควรทำ
มี เหตุผลมากมายที่ทำให้แผนควบคุมน้ำหนักของคุณล้มเหลว ไม่ว่าจะเป็นเพราะเบื่องานที่ทำ หรือกินเพราะต้องการดับความเครียด ซึ่งวิธีต่อไปนี้จะช่วยหยุดความล้มเหลวดังกล่าวได้ เริ่มจากประเมินสิ่งที่คุณทำมาก่อนหน้านี้ โดยการทำเครื่องหมายหน้าแบบสอบถามที่กล่าวมาข้างต้น เพื่อหาสาเหตุของความล้มเหลว เขียนสิ่งที่คุณพยายามทำก่อนหน้านี้เพื่อควบคุมน้ำหนัก โดยแบ่งออกเป็น 2 หัวข้อ หัวข้อแรกคือ "สิ่งที่ทำสำเร็จ" และ "สิ่งที่ทำไม่สำเร็จ" นึกถึงผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นภายหลังการลดน้ำหนักล้มเหลว โดยคิดถึงผลในระยะสั้นและผลในระยะยาว จากนั้นไปที่ขั้นตอนที่ 2

2.ความมุ่งมั่นตั้งใจ? ลืมมันไปซะ!
การ บอกกับตัวเองว่าอย่ากินนั่นกินนี่ วิธีนี้ไมได้ผล เพื่อหยุดตามใจปาก คุณต้องสร้างความสำนึกให้เกิดกับจิตส่วนลึกของคุณก่อน

หยุด ตำหนิตัวเองที่เผลอไปกินเอแคลช็อกโกแลตเข้า ความมุ่งมั่นตั้งใจหามีประโยชน์ไม่ ในเวลาที่คุณกำลังลดน้ำหนัก นั่นเพราะไม่ว่าคุณจะบอกกับจิตสำนึกของคุณมากแค่ไหน คุณต้องทำให้จิตใต้สำนึกเกิดความมุ่งมั่นเสียก่อน สมองของคุณตอบสนองต่อคำแนะนำที่คุณบอก แต่จะลบคำปฏิเสธทิ้ง ดังนั้นถึงคุณจะบอกกับตัวเองว่า "ฉันต้องไม่กินขนมพุดดิ้งชิ้นนั้นเพิ่มอีก ฉันต้องไม่กินอีกเป็นอันขาด" คุณรู้ไหมว่าจะเกิดอะไรขึ้น ให้ลบคำว่า "ไม่" ออกแล้วคุณจะได้คำตอบ จะเห็นว่าความมุ่งมั่นตั้งใจไม่สามารถครอบงำจิตใต้สำนึก

สิ่งที่ควรทำ
พิจารณา ชีวิตแต่ละด้านของคุณ มีด้านใดบ้างที่ความมุ่งมั่นตั้งใจให้ผลกับคุณ เกิดอะไรขึ้นเวลาที่คุณต้องการจำกัดอาหารบางอย่าง คุณสามารถปฏิเสธขนมขบเคี้ยวในงานปาร์ตี้หรือยอมทิ้งอาหารในจานเพราะอิ่มแปล้ ได้หรือไม่ จงซื่อสัตย์กับตัวเองด้วยการเขียนคำตอบที่แท้จริงลงไป คุณอาจพบว่าความมุ่งมั่นตั้งใจช่วยอะไรไม่ได้มากนัก เวลาคุณอยากกินอาหารมากๆ ถึงเวลาที่คุณน่าจะมองหาวิธีอื่นที่มีประโยชน์มากกว่านี้ดีกว่า

3.สังเกตนิสัยที่ไม่ดี
ประสบการณ์ การกินในวัยเด็ก มีอิทธิพลต่อการเลือกกินในตอนโตเป็นผู้ใหญ่ ดังนั้นจงระมัดระวังเรื่องอาหารการกินของคุณให้ดี

รูป แบบการกินอาหารของเรามักได้รับอิทธิพลมาจากพ่อแม่และคนรอบข้าง ถ้าคุณถูกเลี้ยงให้โตมากับการกินเบอร์เกอร์และมันฝรั่งทอดกรอบ ย่อมอาจทำให้คุณชอบกินอาหารประเภทนี้เมื่อโตขึ้น ถ้าคุณถูกเลี้ยงให้โตมากับการกินผักที่ปลูกเองในบ้าน ก็ย่อมทำให้คุณมีแนวโน้มกินผักไปตลอดชีวิต การกินอาหารพร้อมหน้ากันทั้งครอบครัวอาจเป็นช่วงเวลาสบายๆ ผ่อนคลาย หรืออาจเป็นเวลาของการมีปากเสียง ซึ่งพบได้บ่อยตอนคุณเป็นเด็ก เวลากินข้าวหมดจาน คุณจะได้ขนมเป็นรางวัล หรือถูกไล่ให้ไปนอนโดยไม่มีข้าวตกถึงท้องเวลาดื้อ เมื่อเวลาแห่งการเปลี่ยนแปลงมาถึง เพราะคุณโตเป็นผู้ใหญ่ คุณก็มักพยายามทำอะไรที่ตรงข้ามกับประสบการณ์ที่ยังคงอยู่ในความทรงจำ

สิ่งที่ควรทำ
ตรวจ สอบนิสัยการกินภายในจิตใต้สำนึกของคุณ คุณเป็นคนประเภทไหน กินอะไรไม่ระวัง หรือกินจนเกลี้ยงจาน ไม่เหลือซักเม็ด ถึงแม้จะกินอิ่มแล้วก็ตาม คุณอาจขอให้แฟน ญาติพี่น้อง หรือเพื่อนคอยเตือนสติคุณ เวลาคุณใช้จิตใต้สำนึกเป็นตัวตัดสินใจเรื่องการกิน เช่น การหยิบคุกกี้ในกระป๋องมากกินโดยไม่คิด

4.ใช้จินตนาการ
ใช้ประโยชน์จากจิต ใต้สำนึกของคุณและค่อยๆ นำการเปลี่ยนแปลงเข้าสู่ชีวิตประจำวัน

เวลา ที่คุณรู้สึกสงบผ่อนคลายอย่างเต็มที่ จิตใต้สำนึกมีความสำคัญ ดังนั้นจงเปิดรับการเปลี่ยนแปลง และคุณสามารถบงการจิตใต้สำนึกให้ทำตามฝันและแรงบันดาลใจของคุณได้ การฝึกทำสมาธิเป็นประจำ จะช่วยให้คุณทำจิตใจให้สงบเยือกเย็นได้ไม่ยาก ในข้อเท็จจริงแล้ว สิ่งที่เกิดขึ้นเป็นปกติอย่างการฝันกลางวัน หรือช่วงเวลาก่อนนอนหรือหลังตื่นนอน ถือเป็นช่วงที่จิตใจรู้สึกผ่อนคลาย

สิ่งที่ควรทำ
นั่ง ในท่าสบายๆ บอกกล้ามเนื้อแต่ละส่วนให้ผ่อนคลาย กระทั่งกล้ามเนื้อแต่ละส่วนรู้สึกหนัก จินตนาการว่าตัวคุณนั่งอยู่ชั้นบนสุดของบันได นับถอยหลังจาก 20 ลงไป หายใจเข้าลึกๆ ระหว่างถัดบันได้ลงมาแต่ละขั้น จนถึงขั้นสุดท้าย กำหนดสมาธิไปที่ลมหายใจเข้าออก กระทั่งจิตใจสงบผ่อนคลายอย่างเต็มที่ คราวนี้ให้เลือกข้อความจากแบบสอบถามที่คุณทำเครื่องหมายไว้ขึ้นมา 1 หัวข้อ คุณอยากจินตนาการอย่างไร ตัวอย่างเช่น "ฉันลดน้ำหนักเท่าไรก็ไม่ลงสักที" ให้บอกกับตัวเองแทนว่า "ฉันลดน้ำหนักได้ตามที่ต้องการ" หลับตาลงพร้อมนำข้อความนี้มาจินตนาการเป็นภาพ นึกภาพตัวคุณเองในแบบที่คุณอยากเป็น คุณเห็นตัวเองลดน้ำหนักได้สำเร็จ เติมรายละเอียดต่างๆ สีสันเสียง และความรู้สึกให้กับภาพในจินตนาการของคุณ ดื่มด่ำความสุขกับภาพบวกนี้ตราบเท่าที่คุณต้องการ จากนั้นลืมตาขึ้น

5.เรียนรู้ที่จะรักตัวเอง
มอบ ความรักให้ร่างกายของคุณ พุ่งเป้าที่จะทำให้หุ่นดีและร่างกายแข็งแรง โดยการตั้งเป้าหมายที่ทำได้จริง

คน ส่วนใหญ่ลดน้ำหนักไม่ได้ผล เพราะอยากมีหุ่นดีในแบบที่เป็นไปไม่ได้ ถ้าคุณมีหุ่นตัน ลำตัวหนา การควบคุมอาหาร วิ่ง ว่ายน้ำ หรือไม่ว่าจะวิธีใดในโลกนี้ ก็ไม่อาจทำให้รูปร่างของคุณเหมือนนางแบบ แอล แมคเฟอร์สัน ไปได้ยิ่งคุณพยายามจะเป็นมากเท่าไร โอกาสที่จะลดน้ำหนักให้ได้ตามเป้าหมายก็มีน้อยเท่านั้น น้ำหนักมีความสัมพันธ์กับภาพลักษณ์ และเมื่อคุณยอมรับรูปร่างตามธรรมชาติของคุณ คุณก็สามารถทำให้ตัวเองดูดีที่สุดเท่าที่จะทำได้

สิ่งที่ควรทำ
ใช้ เวลา 5 นาทีในตอนเช้ากล่าวย้ำข้อความที่เป็นบวกกับตัวเอง เช่น "ฉันชอบหุ่นตัวเอง" หรือ "ฉันดีใจที่น้ำหนักลดลงใกล้เคียงกับที่ฉันตั้งใจไว้" การทำเช่นนี้อาจทำให้คุณรู้สึกแปลกๆ ในตอนต้น แต่หลังจากนั้นสักพัก คุณจะเชื่อในสิ่งที่คุณบอกกับตัวเอง

6.ทำวันนี้ให้ดี
เพื่อให้การลด น้ำหนักประสบความสำเร็จ คุณต้องจัดการกับนิสัยที่ไม่ดีของคุณ และรูปแบบการกินที่ไม่ดีในแต่ละวัน

คุณ กินของว่างจำพวกมันฝรั่งทอดกรอบและช็อกโกแลต มาเกือบตลอดทั้งชีวิต การบอกตัวเองว่าจะไม่แตะต้องของว่างไขมันสูงพวกนี้อีก จึงเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ อย่าบอกตัวเองว่าวันนี้คุณจะไม่กินมันฝรั่งทอดกรอบหรือช็อกโกแลต เพราะจิตใต้สำนึกของคุณตอบสนองต่อเวลาในปัจจุบันได้ดีที่สุด แต่จงกล่าวข้อความเหล่านี้แทน เช่น "ทุกวันนี้ฉันกำลังเดินหน้าลดน้ำหนักเพื่อให้ใส่ยีนส์ตัวใหม่ได้ ทุกวันนี้ฉันระมัดระวังเรื่องอาหารการกินอย่างมาก และฉันรู้ว่าฉันควรหยุดกินทันทีที่รู้สึกอิ่มและหายหิว"

สิ่งที่ควรทำ
จด จำเป้าหมายให้ขึ้นใจ ลองหาคำตอบดูว่า การไปให้ถึงน้ำหนักที่ตั้งเป้าไว้ต้องใช้เวลานานแค่ไหน จำไว้ว่าองค์การอนามัยโลก (The World Health Organization) แนะให้ลดน้ำหนักได้ไม่เกิน 1 กิโลกรัมต่อสัปดาห์ จากนั้นกำหนดเป้าหมายขั้นต่อไปที่เล็กลง อันจะนำไปสู่จุดหมายได้สำเร็จง่ายขึ้น วิธีนี้จะทำให้คุณเดินไปตามเป้าที่กำหนดไว้โดยไม่สะเปะสะปะ และทุกครั้งที่คุณเดินไปถึงเป้าหมายนั้น ให้คุณกล่าวชมเชยตัวเอง จากนั้นเดินหน้าสู่เป้าหมายต่อไป

ที่มา: http://news.siamtrue.com/view/women.3258

วิธีทำ ให้ผิวขาว 27 วิธี... บอกลาผิวหม่นหมอง




ในหมู่คนรักสวยรักงาม เป็นที่ทราบกันแบบอวดอ้างกล่าวขานต่อๆ กันมาว่า "กลูต้าไธโอน" เป็นสารที่ทำให้ผิวขาวผ่องและเป็นที่นิยมกันมาก
แม้สมาคมแพทย์ผิวหนังแห่งประเทศไทยจะออกมาเตือนผู้บริโภค ว่าไม่ควรหลงเชื่อโฆษณาที่อ้างว่าสามารถช่วยให้ผิวขาวขึ้น เพราะไม่มีผลิตภัณฑ์ใดที่จะทำให้ผิวขาวขึ้นได้อย่างถาวร ผลิตภัณฑ์หรือยาอาจช่วยให้ผิวขาวได้ชั่วคราว แต่เมื่อหมดฤทธิ์ร่างกายก็ผลิตเม็ดสีตามปกติ

อืม... แต่จะทำอย่างไรได้ล่ะคะ สาวๆ ก็ต้องมาคู่กับความสวยความงาม วันนี้เราจึงมีเคล็ดลับวิธีทำให้ผิวขาว บอกลาผิวหม่นหมองด้วยวิธีธรรมชาติๆ มาฝากเพื่อนๆ กันด้วย ว่าแล้วไปดู 27 วิธี บอกลาผิวหม่นหมองกันเลย...

1. การขัดผิว (Exfoliating) หมายถึง การขจัดเซลล์ผิวที่ตายแล้วออกไปจากผิวหน้า รากศัพท์ของมันมาจากคำว่า "foliage" ซึ่งแปลว่าใบพืช เป็นที่ทราบกันดีแล้วว่า อิพิเดอร์มิส (Epidermis) หรือผิวชั้นนอกเกิดขึ้นมาโดยผ่านกระบวนการสร้างจนมาเติบโตเต็มที่อยู่ชั้นบน สุดของผิวหนัง โดยเซลล์ที่ อยู่ล่างสุดของชั้นนี้ที่เรียกว่า เซลล์แรกเริ่ม (Basal Cells) จะสร้างเซลล์ลูกซึ่งจะเคลื่อนตัวขึ้นไปจนกลายเป็นผิวชั้นนอก เซลล์เหล่านี้มีหน้าที่เป็นตัวกั้นระหว่างร่างกายเรากับสิ่งแวดล้อมภายนอก ทั้งยังช่วยเก็บรักษาความชุ่มชื้นภายในและป้องกันสิ่งแปลกปลอมที่จะเข้าสู่ ผิว หลังจากเซลล์ใหม่ที่แข็งแรงกว่า อยู่ประจำที่บนชั้นผิวหนังแล้ว เซลล์ผิวเก่าก็จะหลุดลอกออกโดยธรรมชาติ หากยังตกค้างอยู่บนผิวก็จะทำให้ผิวดูไม่มีชีวิตชีวา และดูเป็นสะเก็ด การขัดหน้าจึงเป็นทางเลือกหนึ่งในการกำจัดเซลล์เก่าที่บดบังความสดใสนั่นเอง

2. ผลิตภัณฑ์ที่ใช้สำหรับการขัดผิ ก็ได้แก่ ฟองน้ำขัดรูปแบบต่างๆ เช่น ใยบวบ หรือครีม เช่น เอเอชเอ แม้กระทั่งผ้าเช็ดตัวก็สามารถใช้ขัดผิวได้ การขัดผิวอย่างนุ่มนวลจะช่วยให้ผิวของคุณดูชุ่มชื่นและใสกระจ่าง

3. ควรหลีกเลี่ยงการขัดผิวด้วยวิธีรุนแรง และหากขัดมากเกินไป ก็อาจรบกวนหน้าที่ในการสกัดกั้นสิ่งแปลกปลอมของผิว รวมถึงทำให้ผิวอ่อนไหวมากขึ้นจนเกิดความแห้งกร้าน ไหม้แดด หรือปัญหาอื่นๆ ได้ง่าย

4. ถ้าไม่กำจัดออกไป ผิวจะ เกิดการอุดตันและหายใจไม่ได้ ผลก็คือ ผิวจะหม่นหมอง ดูแล้วมีความมัน หรือบางทีอาจทำให้เกิดสิวอุดตัน รวมทั้งทำให้กระบวนการไหลเวียนของโลหิตใต้ผิวไม่ดี ทำให้ของเสียเกิดการสะสมตัว

5. ถ้าต้องการขัดผิวหน้า ก็ควรทำอาทิตย์ละ 1-2 ครั้ง และขัดผิวกายเดือนละ 1-2 ครั้ง แต่ถ้าใครมีเซลลูไลท์ แนะนำให้ขัดผิวบริเวณส่วนนั้นทุกวัน โดยใช้ถุงมือผ้าที่ใช้สำหรับอาบน้ำนวดขัด เพื่อกระตุ้นการไหลเวียนของเลือด และกำจัดของเสียออกทางระบบน้ำเหลือง

6. วิธีการขัดผิวที่ถูกต้อง สิ่งที่ต้องมีคือ ฟองน้ำสำหรับขัดผิวกาย ถุงมือผ้า อาบน้ำหรือใยบวบ และผลิตภัณฑ์ขัดผิว เลือกให้เหมาะกับสภาพผิว ถ้าไม่แน่ใจลองปรึกษาคนขาย

7. เริ่มต้นที่ทำผิวเปียก นำผลิตภัณฑ์ขัดผิวเทใส่ใยบวบ ฟองน้ำ หรือถุงมือ แล้วทาลงบนผิวเบาๆ นวดผลิตภัณฑ์บนผิวด้วยการวนมือเป็นลักษณะวงกลมเบาๆ เพื่อเป็นการกระตุ้นระบบไหลเวียน ใช้น้ำล้างออกให้สะอาด ซับให้แห้ง แล้วทาครีมบำรุงผิวที่ให้ความชุ่มชื้นในขณะที่ผิวยังชื้น

8. ผลิตภัณฑ์สำหรับขัดผิวควรเลือกที่เป็นครีมหรือเจล เนื้อครีมควรมีลักษณะเป็น เม็ดกลม เพื่อปกป้องผิวจากการระคายเคือง หรือเป็นแผลถลอก ขณะที่ขัดนวดผิวบริเวณนั้นควรมีความชื้นพอหมาด แล้วล้างออกด้วยน้ำมากๆ

9. ใยบวบ หรือใยขัดธรรมชาติ เป็นอุปกรณ์ขัดผิวที่มีประสิทธิภาพมาก แต่ถ้าออกแรงขัดมากเกินไป อาจทำให้แสบผิวได้ เพราะใยเหล่านี้มีลักษณะสาก และหยาบ เวลาขัด จึงควรขัดเบาๆ ไปทั่วร่างกายขณะอาบน้ำ และเมื่อใช้เสร็จแล้วควรล้างทำความสะอาดและผึ่งให้แห้ง

10. การใช้ผ้าสำหรับถูตัว หรือฟองน้ำถูตัวเวลาอาบน้ำ ก็เป็นอีกวิธีการหนึ่งของการขัดผิว โดยใช้ร่วมกับสบู่ หรือเจลอาบน้ำก็ได้

11. เลียนแบบจากสปาชั้นนำ โดยการใส่น้ำให้เต็มอ่าง เติมเกลือเม็ดลงไป และเวลาที่ลงไปแช่ตัวอยู่ในอ่างให้ใช้เกลือ 1 กำมือ ขัดไปมาเบาๆ ให้ทั่วตัว และล้างตัวด้วยน้ำสะอาด

12. แปรงแปรงผิวสามารถใช้ได้ดี โดยขัดเบาๆ บนผิวที่แห้งก่อนอาบน้ำ เพื่อขจัดเซลล์ผิวที่ตายแล้วให้หลุดไป หรือจะใช้ในขณะอาบน้ำร่วมกับสบู่ หรือเจลอาบน้ำก็ได้

13. การปรนนิบัติผิวให้นุ่มนวลขึ้นภายในระยะเวลาอันสั้น ควรเริ่มด้วยการใช้น้ำมันนวดผิวก่อนอาบน้ำ จากนั้นจึงเข้าสู่ขั้นตอนของการขัดผิว เพื่อช่วยปรนนิบัติ ผิวสะอาดหมดจด สวยเนียนสดใสไปอีกนานๆ

14. เราสามารถทำครีมขัดผิวใช้เอง โดยการใช้เกลือเม็ดเล็กๆ ผสมกับน้ำมันทาผิว (Baby Oil) หรือน้ำมันมะกอกทาทั่วตัวทิ้งไว้ประมาณ 1 นาที นวดให้ทั่ว แล้วล้างออกด้วยน้ำสะอาด

15. สครับสำเร็จรูปมักมีลักษณะคล้ายๆ กัน คือมีบีด (bead) ซึ่งอาจทำจากเกลือ, น้ำตาล, อัลมอนด์ ฯลฯ ช่วยในการขัดผิว มีน้ำมันช่วยหล่อลื่นมีกลิ่นหอม อีกทั้งมีส่วนประกอบในการบำรุงผิวอีกหลายชนิด

16. เราสามารถทำสครับใช้เองง่ายๆ ด้วยการใช้ผักผลไม้ชนิดที่มี คุณสมบัติครบถ้วน ในตัวเดียว คือมีผิวสัมผัสที่ให้ความหยาบเล็กน้อย แต่ต้องไม่ถึงกับให้ผิวระคายเคือง มีน้ำช่วยหล่อลื่นและมีวิตามินตรงกับความต้องการ

17. มะขามเปียก, สับปะรด มีเส้นใยช่วยขจัดขี้ไคล มีความเป็นกรด ช่วยทำความสะอาดผิว ทำให้ผิวขาวใส มีวิตามินซึ่งเป็นแอนติออกซิแดนท์สูง มะละกอมีเอนไซม์อ่อนๆ ช่วยขจัดเซลล์ที่ตายแล้ว วิตามินสูง แต่เนื้อมีความละเอียดมาก มะนาวเป็นกรด เหมาะใช้กับผิวส่วนที่หยาบกร้าน เช่น ข้อศอก, ส้นเท้านุ่มขึ้น แตงกวาช่วยให้ผิวสดชื่น มะพร้าวขูดมีน้ำมันช่วยบำรุงผิว แต่ถ้าคุณเป็นคนผิวแห้งมากต้องระวัง ลองใช้ส้มเช้งมีคุณสมบัติ คล้ายสองชนิดแรก แต่ไม่เป็นกรดมาก

18. ถ้าคุณเลือกส่วนผสมหลักที่มีความพร้อมในตัวเดียว เช่น มะขามเปียกก็สามารถ นำมาสครับได้เลย แต่ถ้าเลือกมะละกอก็ควรหาสิ่งที่เป็นบีดเพิ่มเข้าไปด้วย เพราะบีดช่วยเพิ่มความสากในสครับ ทำให้สามารถขจัดเซลล์ผิวที่ตายแล้วได้ง่ายขึ้น

19. เพื่อความปลอดภัยควรเลือกสิ่งที่อยู่ในครัวเรือนและมีโอกาสแพ้น้อยที่สุด เช่นเกลือมีฤทธิ์ช่วยสมานผิว, ข้าวสารบดละเอียดช่วยให้ผิวขาว, น้ำตาลทรายมีทั้งความสากและความหนืดอยู่ในตัวเอง, งาเนื้อไม่หยาบเกินไป มีน้ำมันอยู่ในตัวช่วยลดความระคายเคือง และกาแฟกระตุ้นให้ร่างกายขับสารพิษ สิ่งที่ควรระวังคือบีดบางชนิดมีเหลี่ยมคม จึงต้องนำมาบดให้ละเอียดก่อนนอกจากนั้นอาจเพิ่มน้ำมันลงไปเพื่อช่วยลดการ เสียดสี

20. ถ้าคุณมีผิวมัน ใช้มะขามเปียกหรือสับปะรดซึ่งมีความเป็นกรดช่วยขจัดความมันผสมกับเกลือ มีฤทธิ์ช่วยสมานผิว เติมโยเกิร์ตช่วยบำรุงผิวก็ได้

21. ถ้าคุณมีผิวแห้ง ใช้ส้มเช้งเป็นส่วนผสมหลัก...ปอกเปลือกแล้วหั่นเป็นแว่นพอจับถนัดมือ ใส่งาขาวเป็นตัวช่วยขัด เพิ่มน้ำมันมะกอกเล็กน้อยลดความระคายเคือง

22. ถ้าคุณมีผิวแพ้ง่า ใช้แค่งาขาว, งาดำผสมน้ำผึ้งหรือโยเกิร์ตก็พอ

23. การใช้น้ำมัน จุดประสงค์สำคัญคือช่วยหล่อลื่น และเป็นตัวช่วยลดความเข้มข้นของกรดสำหรับคนผิวแห้งเช่น ถ้าคุณต้องการใช้สับปะรดขัดผิว แต่เกรงว่าผิวจะแห้ง เกินไป การเพิ่มส่วนผสมน้ำมันก็เป็นทางเลือกที่ดี เพราะนอกจากช่วยให้ลื่นแล้ว น้ำมันยังช่วยเคลือบผิวไม่ให้มีการสูญเสียน้ำมากเกินไป

24. การเพิ่มนม, โยเกิร์ต, น้ำผึ้ง หรืออื่นๆ ที่ช่วยบำรุงผิว สามารถทำได้ แต่ต้องดูไม่ให้สครับข้นหรือเหลวเกินไป ลักษณะของสครับที่ดีควรมีความหนืดเล็กน้อย จับตัว อยู่บนผิวได้ และสะดวกแก่การขัด

25. ใครที่ชอบความหอมรื่นรมย์ สามารถเสริมกลิ่นด้วยการหยดน้ำมันหอมระเหยกลิ่นที่ชอบลงไป 2-3 หยด ซึ่งต้องเป็นน้ำมันหอมระเหยสำหรับนวดตัว ซึ่งมักผสมที่ความเข้มข้นประมาณ 2 เปอร์เซ็นต์ ไม่ใช่สำหรับใส่เตาเผาน้ำมันเพราะน้ำมันหอมระเหย เข้มข้นจะทำให้ผิวไหม้

26. คนที่มีโรคเกี่ยวกับต่อมน้ำเหลือง เช่น ต่อมน้ำเหลืองอักเสบรุนแรง, ต่อมน้ำเหลือง-โต, มีแผลเป็นหนอง หรือแม้แต่เป็นสิวอักเสบ ควรงดการสครับชั่วคราวจนกว่าจะหายเพราะการขัดเป็นการกระตุ้นให้อักเสบมาก ขึ้น

27. ถ้าจะสครับหน้าต้องใช้ผลิตภัณฑ์ที่อ่อนที่สุด ขัดอย่างเบามือเพื่อกระตุ้นน้อยๆ เน้นไปที่ร่องจมูก เลี่ยงจุดที่บอบบางมากๆ เช่น รอบดวงตา

แต่งหน้าท้าร้อน สำหรับสาวหน้ามัน




ร้อน ร้อน ร้อน อากาศร้อนขึ้นทุกวัน ๆ แบบนี้ สาว ๆ หลาย ๆ คนคงจะประสบปัญหาหน้ามันเหมือนกันใช่ไหมคะ ยิ่งเวลาที่แต่งหน้าออกจากบ้านทีไร ความร้อนนอกบ้านก็ทำให้เหงื่อออก หรือหน้ามัน จนล้างเครื่องสำอางบนใบหน้าของเราออกโดยไม่ต้องล้างเอง กันเลยทีเดียว และยิ่งไปกว่านั้น ยังทำให้เกิดคราบแป้งและคราบ เครื่องสำอางบนใบหน้าอีก จะทาแป้งทับลงไปก็ยิ่งเป็นคราบไปกันใหญ่ จะล้างหน้าก็ต้องแต่งใหม่ โอ๊ย โอ๊ย แล้วจะทำยังไงกันดีล่ะคะเนี่ย

วันนี้กระปุกมีเคล็ดลับดี ๆ มาฝากสาว ๆ ในการแต่งหน้าท้าอากาศร้อนมาฝากกันค่ะ โดยเฉพาะสาว ๆ ที่หน้ามัน พลาดกันไม่ได้เลยนะคะคราวนี้
1. เลือก ผลิตภัณฑ์ให้ถูกกับสภาพผิวค่ะ ถ้าหน้ามันนักก็เลือกผลิตภัณฑ์ที่ กระชับรูขุมขน และควบคุมความมันได้ดี การใช้ผลิตภัณฑ์ที่ดูแลเรื่องความ มันนี้จะมีส่วนช่วยให้หน้าเรามันน้อยลงได้ ซึ่งอาจจะช่วยได้มากหรือน้อย แต่ก็ยังดีกว่าปล่อยให้หน้ามันเยิ้มโดยไม่ใช้ผลิตภัณฑ์ยับยั้งความมันเลยนะ คะ

2. หลีกเลี่ยงการล้างหน้าบ่อยเกินไป เป็นความเชื่อที่ผิด ๆ ค่ะ หากคุณคิดว่าการล้างหน้าคือการช่วยล้างความ มันออกจากใบหน้าคุณได้ จริงอยู่ที่มันทำให้คุณรู้สึกสดชื่น และรู้สึกหน้าสะอาดใสไร้ความมันจริง แต่การล้างหน้าบ่อยยิ่งทำให้ผิวผลิต น้ำมันออกมามากขึ้น ยิ่งทำให้หน้าคุณมันกว่าเดิมอีกค่ะ ที่ถูกต้องคือควรล้างหน้าวันละ 2-3 ครั้งก็เพียงพอแล้วล่ะค่ะ

3. อย่าแต่งหน้าให้หนาเกินไป หากคุณเป็นคนที่หน้ามันมาก ๆ การประโคมครีมบำรุงและรองพื้นหลาย ๆ ชั้นยิ่งทำให้หน้าคุณดูหนักและไม่เป็นธรรมชาติเอาซะเลยค่ะ ยิ่งเวลาที่เหงื่อออกแล้ว รองพื้นพวกนี้นี่แหละค่ะที่จะกลายเป็นคราบ เกรอะติดอยู่บนหน้าคุณ ซึ่งพอยิ่งเช็ดก็ยิ่งทำให้เห็นเป็นคราบได้ ชัดเจนมากขึ้นไปอีก เพราะฉะนั้นหากหลีกเลี่ยงได้ ก็อย่าใช้รองพื้นหนาเกินไปนะคะ ทารองพื้นบาง ๆ พอให้ผิวได้หายใจบ้าง หากหน้ามันก็ใช้กระดาษซับมันซับเท่าที่จำเป็นก็พอค่ะ

4.ใช้ make up base หรือ ครีมกันแดดชนิดกันน้ำ วิธีนี้จะทำให้เหงื่อที่ออกมาไม่ทำให้หน้าบริเวณ พาลเลอะไปด้วย แต่ต้องใช้คลีนเซอร์ที่ล้างเครื่องสำอางโดยเฉพาะ เพื่อล้างเครื่องสำอางให้สะอาดหมดจด จะได้ไม่เกิดสิวตามมาค่ะ

5. หลีกเลี่ยงการเติมแป้งด้วยแป้งพัฟ หากหน้าเริ่มจะมัน ใช้แป้งฝุ่นหรือแป้งเด็กทาบริเวณที่มัน จะช่วยคุมความมันและทำให้ผิวดูเป็นธรรมชาติมากกว่าและยังไม่เป็น คราบด้วยค่ะ

6. ซับหน้าทันทีเมื่อ เหงื่อออก อย่าปล่อยไว้นานค่ะ เพราะมันจะทำให้เกิดคราบและเป็นตัวละลาย เครื่องสำอางให้เปื้อนหน้าคุณได้อย่างง่ายๆ

เป็นยังไงกันบ้างคะ 6 เคล็ดลับดี ๆ ที่กระปุกนำมาฝากกันในวันนี้ ยังไงก็ลองเอาไปใช้ดูนะคะ แต่อย่างไรก็ตาม การห้ามไม่ให้เหงื่อออกบนใบหน้าเห็น จะเป็นเรื่องที่ยากซะเหลือเกินในช่วงที่อากาศร้อนแบบนี้ ถ้าเป็นไปได้ แค่ครีมกันแดดแล้วก็เมคอัพนิดหน่อยก็น่าจะพอค่ะ เพราะอากาศร้อนแบบนี้ ต่อให้แต่งหน้ายังไง เหงื่อก็ออกมาละลายเครื่องสำอางอยู่ดี

แบบนี้แล้ว เห็นทีว่าการแต่งหน้าแบบสวยใส ๆ คงจะเป็นวิธีที่เหมาะที่สุดสำหรับหน้า ร้อนแล้วล่ะค่ะ


ทีมา: http://women.kapook.com/view11274.html

วันอังคารที่ 22 มิถุนายน พ.ศ. 2553

10 วิธีช่วยให้นอนหลับดีขึ้น






นอนเถอะค่ะ... แล้วพรุ่งนี้ทุกอย่างจะดีเองคำพูดนี้อาจฟังดูไม่สมเหตุ

สมผล แต่เชื่อเถอะว่ามันจะเป็นอย่างนั้นจริงๆ เพราะการหลับสนิท
ในช่วงที่ร่างกายต้องการพักผ่อนคือ การชาร์จพลังที่ดีที่สุดที่มอบคุณ
ประโยชน์มหาศาลทั้งร่างกายจิตใจ และสติปัญญา

น่าตกใจกับผการวิจัยในสหรัฐอเมริกาชิ้นหนึ่งที่พบว่าเมืองนิวยอร์กทั้งเมือง
ล้วนเต็มไปด้วยสาวก Sleepless Society คนนอนไม่หลับมากมาย
ในจำนวนนี้ยังได้หมายรวมไปถึงกลุ่มคนที่พยายามจะนอนให้หลับ
และกลุ่มคนที่เทคยานอนหลับด้วย จากการแยกแยะวิเคราะห์พฤติกรรม
และผลกระทบยืนยันว่า คนส่วนใหญ่เป็นหนุ่มสาวที่มีอายุระหว่าง 25-35 ปี ซึ่งมีความเคร่งเครียด หลักจากสภาวะกดดันเรื่องความก้าวหน้า ในการงาน และค่าครองชีพ การนอนไม่หลับอันเนื่องจากไม่รู้จัก Shut Down
ความคิดที่วนเวียนในสมองนี้ ยังส่งผลให้เกิดอาการซึมเศร้า หดหู่
ที่กระทบต่อประสิทธิภาพการทำงาน และความคิด สร้างสรรค์อีกด้วย
และเมื่อเป็นอย่างนี้ นานเข้ามันก็จะเริ่มก่อตัวเป็นวัฏจักรที่ไม่สิ้นสุด
นั่นคือ เครียด-นอนไม่หลับ-หดหู่ซึมเศร้า-ขาดพลังงานและความคิด
สร้างสรรค์-ผลงานไม่น่าประทับใจ-วิตกจริตและกลับมาสู่วงจรแห่งความเครียดซ้ำ ซ้อนนักวิชาการทั่วโลกต่างออกมายืนยันเป็นเสียง
เดียวกันว่า... นี่คือมหันตภัยทางจิตของเวิร์กกิ้งแมนและวูแมนทั่วโลก
แห่งปี 2008 ที่น่ากลัว

9 Checks, Are You A Sleepless Society?
ลองมาเช็กดูกันดีกว่าว่าวันนี้คุณมีอาการเข้าใกล้วงจรนอนไม่หลับแค่ ไหน...คุณมีอาการแบบนี้หรือเปล่า

• หลับตานานแล้ว แต่สมองยังไม่หยุดคิด
• มักรู้สึกตัวระหว่างนอนหลับเป็นระยะๆ
• ระหว่างหลับรู้สึกว่าสมองยังคิดและกังวล
• ไม่อยากตื่นทั้งที่รู้สึกว่านอนมานานแล้ว
• ความคิดตื้อตันไม่ทันใจ
• ง่วงนอนระหว่างวัน
• รู้สึกซึมเศร้าอย่างไม่มีสาเหตุ
• ปวดหัว และอ่อนเพลียง่าย
• ตื่นด้วยความงัวเงียไม่แจ่มใส แม้จะอาบน้ำและแปรงฟัน



10 Ways to Sleep Well
ใช้ชีวิตเปลี่ยนแนว เพื่อการนอนหลับที่
เป็นสุขและหมดทุกข์เรื่องเครียดกังวล กับ10 คำแนะนำเหล่านี้

1. เข้านอนก่อน 4 ทุ่ม และตื่น 6 โมงเช้า เพราะนี่คือช่วงที่เหมาะสมที่สุด
ในการพักผ่อนร่างกาย
2. สะสาง วางแผนสิ่งที่กังวลที่จะทำในวันต่อไปให้เรียบร้อยเพื่อลดอาการ
วิตกจริต และคิดซ้ำซาก
3. บอกกับตัวเองว่าการเครียดกังวล และใช้สมองในช่วงที่ต้องนอนหลับนั้น
เปล่าประโยชน์ เนื่องจากสติ สัมปชัญญะ และความอ่อนล้าของร่างกายคืออุปสรรค ดังนั้น นอนหลับให้สนิทแล้วตื่นมาคิดอย่างแจ่มใส ย่อมให้ผลลัพธ์ที่มีประสิทธิภาพดีกว่า
4. ถ้าคุณนอนหลับยาก ควรออกกำลังกายในช่วงเย็น หรือ 4-6 ชั่วโมง
ก่อนนอน แต่อย่าทำใกล้เวลานอน
5. ปรับอุณหภูมิห้องให้เย็นระหว่าง 17-25 องศาเซลเซียส แล้วจะหลับง่ายสบายบอดี้
6. เสริมเครื่องฟอกอากาศในห้องนอนเพื่อเพิ่มปริมาณออกซิเจนที่สมดุล
จะนอนหลับลึกได้ต่อเนื่อง
7. ความมืดมิดและไร้เสียง คือเคล็ดลับที่จะทำให้หลับได้สนิทและยาวนาน
8. ดื่มหรือรับประทานอาหารที่มีองค์ประกอบของกรด อะมิโน Tryptophan จากโปรตีน อย่างธัญพืช หรือเครื่องดื่ม Whole Grains ก่อนนอน จะช่วยกระตุ้นให้ร่างกายปล่อยสาร Niacin จากวิตามินบี 5 ทำให้สมองและร่างกาย
ผ่อนคลาย และง่วงนอนง่ายขึ้น
9. สร้างกิจวัตรใหม่ด้วยการเข้านอนและตื่นให้เป็นเวลาเดียวกันทุกวัน ลองทำแค่ 1 อาทิตย์ติดต่อกัน ร่างกายก็คุ้นเคยแล้ว
10. หลีกเลี่ยงการดื่มชา กาแฟ และช็อกโกแลต ระหว่างวัน เพราะกาเฟอีน
ที่ผสมอยู่จะทำให้ร่างกายตื่นตัว

สมองคืออาวุธที่จะมีประสิทธิภาพที่สุด เมื่อถูกนำมาใช้ในเวลาที่แจ่มใสที่สุด ดังนั้น ถ้าใครยิ่งต้องการความก้าวหน้า และความเฉียบแหลม จึงยิ่งต้องบริหารอย่างมีประสิทธิภาพ นั่นคือการรู้จัก...ใช้เมื่อพร้อม
ถึงขีดสุด และหยุดดูแลเมื่อเหนื่อยล้า

ที่มา: http://board.palungjit.com/f9/10-วิธีช่วยให้นอนหลับดีขึ้น-149858.html

10 วิธี การบริหารดวงตาแบบง่ายๆ




วิธีแรก
การกระพริบตาถี่ๆ เพราะโดยธรรมชาติแล้ว คนเราจะกระพริบตา 1 ครั้งต่อทุกๆ 4 วินาที แต่จากนี้ไป เมื่อใดก็ตามที่นึกขึ้นมาได้ ก็ให้กระพริบตาติดต่อกัน 10 ครั้ง การทำเช่นนี้จะช่วยให้อาการเมื่อยตาบรรเทาลงได้อย่างประหลาด และเพื่อให้ได้ผลดี เราควรจะฝึกให้บริหารดวงตาด้วยวิธีนี้อย่างน้อยวันละ 5 ครั้ง

วิธีที่สอง หลับตาให้แน่นที่สุดเท่าที่จะทำได้ ประมาณ 1 วินาทีแล้วคลายออก จากนั้นใช้ปลายนิ้วก้อยกดนวดเบาๆ ตรงบริเวณใต้ดวงตา เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดริ้วรอยยับย่นรอบดวงตา แต่อย่าไปเผลอกดตรงดวงตา หรือบริเวณรอบขอบตาเด็ดขาด วิธีนี้ให้ทำวันละ 3 ครั้ง

วิธีที่สาม การกลอกลูกตาโดยไม่ขยับศีรษะ วิธีการนี้จะไปช่วยกระตุ้นให้กล้ามเนื้อตาทำงานได้ดีขึ้น ให้กลอกตาไปในทิศทางต่างๆ ท่าละ 3 ครั้ง โดยเริ่มจากการกลอกตาจากล่างขึ้นบน แล้วจึงค่อยทำจากซ้ายไปขวา

วิธีที่สี่ ให้ปฏิบัติเช่นเดียวกับวิธีที่สาม แต่ให้จินตนาการว่า เรากำลังเขียนรูปสี่เหลี่ยมอยู่ด้วยดวงตา และพยายามทำให้รูปสี่เหลี่ยมนั้นมีขนาดใหญ่ที่สุดเท่าที่เราจะทำได้ และอย่าไปตัดมุมสี่เหลี่ยมมุมใดมุมหนึ่งเด็ดขาด กรรมวิธีเช่นนี้ ตามตำราบอกว่าเป็นการบริหารดวงตาที่มีประสิทธิภาพยิ่ง

วิธีที่ห้า ยื่นแขนข้างขวาออกไปข้างหน้าและเลื่อนช้าๆ จนแขนเป็นแนวเดียวกับไหล่ ขณะที่เลื่อนแขนอยู่นั้นก็ให้มองตามโดยต้องไม่ขยับศีรษะเลย พยายามมองปลายนิ้วข้างนั้นให้ไกลที่สุดเท่าที่จะทำได้ แล้วค่อยๆ เลื่อนแขนกลับมาข้างหน้าช้าๆ โดยไม่ละสายตาจากปลายนิ้ว จากนั้นให้เปลี่ยนไปใช้กรรมวิธีเช่นนี้กับแขนข้างซ้าย โดยการบริหารดวงตาด้วยวิธีนี้ควรทำให้ได้อย่างน้อยวันละ 1 ครั้ง

วิธีที่หก ให้ท้าวข้อศอกลงบนโต๊ะ แล้วเอามือทั้งสองข้างปิดตาไว้ กะพริบตาถี่ๆ 2-3 ครั้งแล้วจึงหลับตาลง ผ่อนคลายดวงตาและใบหน้า พร้อมกับนั่งนิ่งๆ ในท่านั้นประมาณ 5 นาที แล้วจึงลืมตาขึ้นเอามือออก สิ่งที่ต้องระวังจากการบริหารดวงตาด้วยวิธีนี้ก็คือ จะต้องไม่ใช้ปลายนิ้วกดลงบนลูกตา หรือส่วนใดส่วนหนึ่งบนใบหน้าอย่างเด็ดขาด ในแต่ละวันจะบริหารดวงตาด้วยวิธีนี้กี่ครั้งก็ได้ เพราะวิธีนี้จะมีประโยชน์เป็นพิเศษเมื่อเราต้องใช้สายตาอย่างหนัก เช่น เพ่งสายตาอยู่กับจอคอมพิวเตอร์นานๆ หรือทำงานเย็บปักถักร้อยที่ต้องการความประณีตสูง

วิธีที่เจ็ด เหลือกตาขึ้นมองเพดานห้องในลักษณะทะแยงมุม จากนั้นให้ลดสายตาลงมองพื้นที่อยู่ตรงกันข้าม ให้ทำเช่นเดียวกันนี้ทั้งข้างซ้ายและข้างขวา และทำสลับกัน กรรมวิธีนี้ควรทำให้ได้ข้างละ 5 ครั้งต่อวัน

วิธีที่แปด กรรมวิธีนี้จะช่วยให้ดวงตาสามารถปรับให้เข้ากับการเปลี่ยนแปลงของจุดโฟกัส ให้จ้องมองไปที่วัตถุอย่างใดอย่างหนึ่งซึ่งอยู่ในระยะไกล จากนั้นให้ดึงสายตากลับมายังวัตถุใดๆ ก็ตามที่อยู่ในระยะใกล้เพียงช่วงแขน ให้บริหารสายตาด้วยวิธีนี้ซ้ำๆ กันข้างละ 5 ครั้ง

วิธีที่เก้า การฝึกโยคะในท่าที่ใช้ศีรษะต่างเท้า ถือเป็นวิธีบริหารดวงตาที่ดีมากวิธีหนึ่ง เพราะเลือดที่ตกลงไปที่ศีรษะจะไปช่วยกระตุ้นการไหลเวียนของเลือดรอบดวงตา ซึ่งจะช่วยให้สายตาดีขึ้นอย่างมาก แต่สำหรับคนที่ไม่สามารถฝึกโยคะท่านี้ได้ จะด้วยความกลัวเกิดอาการหน้ามืด วิงเวียนศีรษะ หรือด้วยเหตุผลใดก็แล้วแต่ ให้ใช้วิธีนั่งบนเก้าอี้ แล้วห้อยศีรษะลงระหว่างเข่าทั้ง 2 ข้าง พยายามให้กระหม่อมดิ่งลงไปหาพื้นห้องให้ได้มากที่สุด เมื่อเริ่มต้นบริหารด้วยท่านี้ใหม่ๆ ให้พยายามประคองตัวอยู่ในท่านี้ให้ได้นานประมาณ 5 นาทีเป็นอย่างน้อย

วิธีสุด ท้าย วิธีที่สิบ เป็นการบริหารดวงตาตามหลักอายุรเวทอย่างแม้จริง นั่นคือ หลับตาลง แล้วใช้นิ้วนางทั้งสองข้างนวดบนเปลือกตาเบาๆ จากนั้นให้กดปลายนิ้วลงเล็กน้อยเพื่อนวดลูกตา โดยจะต้องนวดเป็นวงรอบๆ ดวงตา ทำครั้งละประมาณ 2-3 นาที

สิบวิธีบริหาร ดวงตาง่ายๆ เช่นนี้ คนที่มีปัญหาด้านสายตาทำแล้วก็จะดี ส่วนคนที่ไม่มีปัญหาด้านสายตาก็ทำได้เช่นกัน จะทำที่ไหนเมื่อไหร่ก็ได้ทั้งนั้น สำคัญคือต้องตั้งใจและให้ท่องไว้เสมอว่า บริหารดวงตาวันละนิด เพื่อชีวิตของดวงตาที่ยืนยาว

ที่มา: http://cid-a291c0b2e994b349.spaces.live.com/blog/cns!A291C0B2E994B349!752.entry

เมนูห้ามรับประทานขณะท้องว่าง



ก่อนที่จะรับประทาน ควรเลือกชนิดของอาหารเสียก่อนนะคะ เพราะบางทีอาหารที่เราทานลงไปทั้งๆ ที่มีประโยชน์แต่ไม่ถูกเวลา ก็อาจส่งผลเสียบางอย่างที่เราคาดไม่ถึงก็ได้ค่ะ ไปดูกันว่าอาหารที่ไม่ควรรับประทานขณะท้องว่างมีชนิดใดบ้าง

นมและนมถั่วเหลือง
แม้ว่านมถั่วเหลืองจะอุดมไปด้วยโปรตีน แต่จะเกิดประสิทธิภาพมากที่สุด เมื่อกระเพาะอาหารมีสาร ประเภทแป้งอยู่

เหล้า
หากดื่มเหล้าในขณะท้องว่าง จะไปกระตุ้นเยื่อบุกระเพาะอาหาร ทำให้เป็นโรคกระเพาะอาหารอักเสบ และเป็นแผลในกระเพาะอาหารได้

น้ำตาลหรืออาหารหวาน
ไม่ควรรับประทานอาหารหวานหรือน้ำตาล เช่น น้ำอัดลม ลูกอม ช็อกโกแลต เพราะหากรับประทานขณะ ท้องว่างจะทำให้โปรตีนรวมตัวกับน้ำตาลส่งผลต่อการดูดซึมโปรตีนทุกชนิดและลด สมรรถภาพการทำงานของระบบหมุนเวียนเลือดและไต

ชาที่แก่เกินไป
ชาทำให้กรดเกลือในน้ำย่อยในกระเพาะอาหารเจือจาง ส่งผลให้การทำงานของระบบย่อยอาหารลดลง และเกิดอาการใจสั่น เวียนศีรษะมือเท้าไม่มีแรง จิตใจไม่สงบ

ลูกพลับ
ไม่ควรรับประทานลูกพลับในขณะที่ท้องว่าง เพราะกระเพาะอาหารจะหลั่งกรดเกลือออกมามาก หากไป รวมตัวกับยาง และสารแขวนลอยในลูกพลับแล้ว จะทำให้เจ็บหน้าอก คลื่นไส้และเป็นแผลในกระเพาะอาหาร

กล้วย
เพราะกล้วยอุดมไปด้วยธาตุแมกนีเซียม การรับประทานกล้วยขณะท้องว่าง จะทำให้ปริมาณธาตุ แมกนีเซียมในเลือดสูงขึ้น ทำให้สูญเสียสัดส่วนของแคลเซียมและแมกนีเซียมไปเป็นการยับยั้งการทำงานของ หลอดเลือด หัวใจเป็นอันตรายต่อสุขภาพอย่างยิ่ง

กระเทียม
เพราะจะทำให้เยื่อบุกระเพาะอาหารได้รับการกระตุ้น เกิดโรคกระเพาะอาหารอักเสบอย่างรุนแรง

ผัก
การรับประทานผักอย่างเดียวขณะท้องว่าง จะทำให้กระเพาะอาหารเกิดอาการผิดปกติ

นอกจากนั้นยังไม่ควรอาบน้ำและออกกำลังกายด้วยเช่นกัน เพราะการอาบน้ำและการออกกำลังกายใน
ขณะที่ท้องว่าง จะทำให้เกิดอาการช็อกเนื่องจากน้ำตาลในเลือดต่ำได้ง่าย อย่าลืมสิ่งใดที่มีคุณอนันต์ก็ อาจมีโทษมหันต์เช่นกัน ถ้าคุณปฏิบัติอย่างผิดวิธี
ที่มา: http://www.ladytip.com/main/content/view/27/77/