วันอังคารที่ 22 มิถุนายน พ.ศ. 2553

10 วิธีช่วยให้นอนหลับดีขึ้น






นอนเถอะค่ะ... แล้วพรุ่งนี้ทุกอย่างจะดีเองคำพูดนี้อาจฟังดูไม่สมเหตุ

สมผล แต่เชื่อเถอะว่ามันจะเป็นอย่างนั้นจริงๆ เพราะการหลับสนิท
ในช่วงที่ร่างกายต้องการพักผ่อนคือ การชาร์จพลังที่ดีที่สุดที่มอบคุณ
ประโยชน์มหาศาลทั้งร่างกายจิตใจ และสติปัญญา

น่าตกใจกับผการวิจัยในสหรัฐอเมริกาชิ้นหนึ่งที่พบว่าเมืองนิวยอร์กทั้งเมือง
ล้วนเต็มไปด้วยสาวก Sleepless Society คนนอนไม่หลับมากมาย
ในจำนวนนี้ยังได้หมายรวมไปถึงกลุ่มคนที่พยายามจะนอนให้หลับ
และกลุ่มคนที่เทคยานอนหลับด้วย จากการแยกแยะวิเคราะห์พฤติกรรม
และผลกระทบยืนยันว่า คนส่วนใหญ่เป็นหนุ่มสาวที่มีอายุระหว่าง 25-35 ปี ซึ่งมีความเคร่งเครียด หลักจากสภาวะกดดันเรื่องความก้าวหน้า ในการงาน และค่าครองชีพ การนอนไม่หลับอันเนื่องจากไม่รู้จัก Shut Down
ความคิดที่วนเวียนในสมองนี้ ยังส่งผลให้เกิดอาการซึมเศร้า หดหู่
ที่กระทบต่อประสิทธิภาพการทำงาน และความคิด สร้างสรรค์อีกด้วย
และเมื่อเป็นอย่างนี้ นานเข้ามันก็จะเริ่มก่อตัวเป็นวัฏจักรที่ไม่สิ้นสุด
นั่นคือ เครียด-นอนไม่หลับ-หดหู่ซึมเศร้า-ขาดพลังงานและความคิด
สร้างสรรค์-ผลงานไม่น่าประทับใจ-วิตกจริตและกลับมาสู่วงจรแห่งความเครียดซ้ำ ซ้อนนักวิชาการทั่วโลกต่างออกมายืนยันเป็นเสียง
เดียวกันว่า... นี่คือมหันตภัยทางจิตของเวิร์กกิ้งแมนและวูแมนทั่วโลก
แห่งปี 2008 ที่น่ากลัว

9 Checks, Are You A Sleepless Society?
ลองมาเช็กดูกันดีกว่าว่าวันนี้คุณมีอาการเข้าใกล้วงจรนอนไม่หลับแค่ ไหน...คุณมีอาการแบบนี้หรือเปล่า

• หลับตานานแล้ว แต่สมองยังไม่หยุดคิด
• มักรู้สึกตัวระหว่างนอนหลับเป็นระยะๆ
• ระหว่างหลับรู้สึกว่าสมองยังคิดและกังวล
• ไม่อยากตื่นทั้งที่รู้สึกว่านอนมานานแล้ว
• ความคิดตื้อตันไม่ทันใจ
• ง่วงนอนระหว่างวัน
• รู้สึกซึมเศร้าอย่างไม่มีสาเหตุ
• ปวดหัว และอ่อนเพลียง่าย
• ตื่นด้วยความงัวเงียไม่แจ่มใส แม้จะอาบน้ำและแปรงฟัน



10 Ways to Sleep Well
ใช้ชีวิตเปลี่ยนแนว เพื่อการนอนหลับที่
เป็นสุขและหมดทุกข์เรื่องเครียดกังวล กับ10 คำแนะนำเหล่านี้

1. เข้านอนก่อน 4 ทุ่ม และตื่น 6 โมงเช้า เพราะนี่คือช่วงที่เหมาะสมที่สุด
ในการพักผ่อนร่างกาย
2. สะสาง วางแผนสิ่งที่กังวลที่จะทำในวันต่อไปให้เรียบร้อยเพื่อลดอาการ
วิตกจริต และคิดซ้ำซาก
3. บอกกับตัวเองว่าการเครียดกังวล และใช้สมองในช่วงที่ต้องนอนหลับนั้น
เปล่าประโยชน์ เนื่องจากสติ สัมปชัญญะ และความอ่อนล้าของร่างกายคืออุปสรรค ดังนั้น นอนหลับให้สนิทแล้วตื่นมาคิดอย่างแจ่มใส ย่อมให้ผลลัพธ์ที่มีประสิทธิภาพดีกว่า
4. ถ้าคุณนอนหลับยาก ควรออกกำลังกายในช่วงเย็น หรือ 4-6 ชั่วโมง
ก่อนนอน แต่อย่าทำใกล้เวลานอน
5. ปรับอุณหภูมิห้องให้เย็นระหว่าง 17-25 องศาเซลเซียส แล้วจะหลับง่ายสบายบอดี้
6. เสริมเครื่องฟอกอากาศในห้องนอนเพื่อเพิ่มปริมาณออกซิเจนที่สมดุล
จะนอนหลับลึกได้ต่อเนื่อง
7. ความมืดมิดและไร้เสียง คือเคล็ดลับที่จะทำให้หลับได้สนิทและยาวนาน
8. ดื่มหรือรับประทานอาหารที่มีองค์ประกอบของกรด อะมิโน Tryptophan จากโปรตีน อย่างธัญพืช หรือเครื่องดื่ม Whole Grains ก่อนนอน จะช่วยกระตุ้นให้ร่างกายปล่อยสาร Niacin จากวิตามินบี 5 ทำให้สมองและร่างกาย
ผ่อนคลาย และง่วงนอนง่ายขึ้น
9. สร้างกิจวัตรใหม่ด้วยการเข้านอนและตื่นให้เป็นเวลาเดียวกันทุกวัน ลองทำแค่ 1 อาทิตย์ติดต่อกัน ร่างกายก็คุ้นเคยแล้ว
10. หลีกเลี่ยงการดื่มชา กาแฟ และช็อกโกแลต ระหว่างวัน เพราะกาเฟอีน
ที่ผสมอยู่จะทำให้ร่างกายตื่นตัว

สมองคืออาวุธที่จะมีประสิทธิภาพที่สุด เมื่อถูกนำมาใช้ในเวลาที่แจ่มใสที่สุด ดังนั้น ถ้าใครยิ่งต้องการความก้าวหน้า และความเฉียบแหลม จึงยิ่งต้องบริหารอย่างมีประสิทธิภาพ นั่นคือการรู้จัก...ใช้เมื่อพร้อม
ถึงขีดสุด และหยุดดูแลเมื่อเหนื่อยล้า

ที่มา: http://board.palungjit.com/f9/10-วิธีช่วยให้นอนหลับดีขึ้น-149858.html

10 วิธี การบริหารดวงตาแบบง่ายๆ




วิธีแรก
การกระพริบตาถี่ๆ เพราะโดยธรรมชาติแล้ว คนเราจะกระพริบตา 1 ครั้งต่อทุกๆ 4 วินาที แต่จากนี้ไป เมื่อใดก็ตามที่นึกขึ้นมาได้ ก็ให้กระพริบตาติดต่อกัน 10 ครั้ง การทำเช่นนี้จะช่วยให้อาการเมื่อยตาบรรเทาลงได้อย่างประหลาด และเพื่อให้ได้ผลดี เราควรจะฝึกให้บริหารดวงตาด้วยวิธีนี้อย่างน้อยวันละ 5 ครั้ง

วิธีที่สอง หลับตาให้แน่นที่สุดเท่าที่จะทำได้ ประมาณ 1 วินาทีแล้วคลายออก จากนั้นใช้ปลายนิ้วก้อยกดนวดเบาๆ ตรงบริเวณใต้ดวงตา เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดริ้วรอยยับย่นรอบดวงตา แต่อย่าไปเผลอกดตรงดวงตา หรือบริเวณรอบขอบตาเด็ดขาด วิธีนี้ให้ทำวันละ 3 ครั้ง

วิธีที่สาม การกลอกลูกตาโดยไม่ขยับศีรษะ วิธีการนี้จะไปช่วยกระตุ้นให้กล้ามเนื้อตาทำงานได้ดีขึ้น ให้กลอกตาไปในทิศทางต่างๆ ท่าละ 3 ครั้ง โดยเริ่มจากการกลอกตาจากล่างขึ้นบน แล้วจึงค่อยทำจากซ้ายไปขวา

วิธีที่สี่ ให้ปฏิบัติเช่นเดียวกับวิธีที่สาม แต่ให้จินตนาการว่า เรากำลังเขียนรูปสี่เหลี่ยมอยู่ด้วยดวงตา และพยายามทำให้รูปสี่เหลี่ยมนั้นมีขนาดใหญ่ที่สุดเท่าที่เราจะทำได้ และอย่าไปตัดมุมสี่เหลี่ยมมุมใดมุมหนึ่งเด็ดขาด กรรมวิธีเช่นนี้ ตามตำราบอกว่าเป็นการบริหารดวงตาที่มีประสิทธิภาพยิ่ง

วิธีที่ห้า ยื่นแขนข้างขวาออกไปข้างหน้าและเลื่อนช้าๆ จนแขนเป็นแนวเดียวกับไหล่ ขณะที่เลื่อนแขนอยู่นั้นก็ให้มองตามโดยต้องไม่ขยับศีรษะเลย พยายามมองปลายนิ้วข้างนั้นให้ไกลที่สุดเท่าที่จะทำได้ แล้วค่อยๆ เลื่อนแขนกลับมาข้างหน้าช้าๆ โดยไม่ละสายตาจากปลายนิ้ว จากนั้นให้เปลี่ยนไปใช้กรรมวิธีเช่นนี้กับแขนข้างซ้าย โดยการบริหารดวงตาด้วยวิธีนี้ควรทำให้ได้อย่างน้อยวันละ 1 ครั้ง

วิธีที่หก ให้ท้าวข้อศอกลงบนโต๊ะ แล้วเอามือทั้งสองข้างปิดตาไว้ กะพริบตาถี่ๆ 2-3 ครั้งแล้วจึงหลับตาลง ผ่อนคลายดวงตาและใบหน้า พร้อมกับนั่งนิ่งๆ ในท่านั้นประมาณ 5 นาที แล้วจึงลืมตาขึ้นเอามือออก สิ่งที่ต้องระวังจากการบริหารดวงตาด้วยวิธีนี้ก็คือ จะต้องไม่ใช้ปลายนิ้วกดลงบนลูกตา หรือส่วนใดส่วนหนึ่งบนใบหน้าอย่างเด็ดขาด ในแต่ละวันจะบริหารดวงตาด้วยวิธีนี้กี่ครั้งก็ได้ เพราะวิธีนี้จะมีประโยชน์เป็นพิเศษเมื่อเราต้องใช้สายตาอย่างหนัก เช่น เพ่งสายตาอยู่กับจอคอมพิวเตอร์นานๆ หรือทำงานเย็บปักถักร้อยที่ต้องการความประณีตสูง

วิธีที่เจ็ด เหลือกตาขึ้นมองเพดานห้องในลักษณะทะแยงมุม จากนั้นให้ลดสายตาลงมองพื้นที่อยู่ตรงกันข้าม ให้ทำเช่นเดียวกันนี้ทั้งข้างซ้ายและข้างขวา และทำสลับกัน กรรมวิธีนี้ควรทำให้ได้ข้างละ 5 ครั้งต่อวัน

วิธีที่แปด กรรมวิธีนี้จะช่วยให้ดวงตาสามารถปรับให้เข้ากับการเปลี่ยนแปลงของจุดโฟกัส ให้จ้องมองไปที่วัตถุอย่างใดอย่างหนึ่งซึ่งอยู่ในระยะไกล จากนั้นให้ดึงสายตากลับมายังวัตถุใดๆ ก็ตามที่อยู่ในระยะใกล้เพียงช่วงแขน ให้บริหารสายตาด้วยวิธีนี้ซ้ำๆ กันข้างละ 5 ครั้ง

วิธีที่เก้า การฝึกโยคะในท่าที่ใช้ศีรษะต่างเท้า ถือเป็นวิธีบริหารดวงตาที่ดีมากวิธีหนึ่ง เพราะเลือดที่ตกลงไปที่ศีรษะจะไปช่วยกระตุ้นการไหลเวียนของเลือดรอบดวงตา ซึ่งจะช่วยให้สายตาดีขึ้นอย่างมาก แต่สำหรับคนที่ไม่สามารถฝึกโยคะท่านี้ได้ จะด้วยความกลัวเกิดอาการหน้ามืด วิงเวียนศีรษะ หรือด้วยเหตุผลใดก็แล้วแต่ ให้ใช้วิธีนั่งบนเก้าอี้ แล้วห้อยศีรษะลงระหว่างเข่าทั้ง 2 ข้าง พยายามให้กระหม่อมดิ่งลงไปหาพื้นห้องให้ได้มากที่สุด เมื่อเริ่มต้นบริหารด้วยท่านี้ใหม่ๆ ให้พยายามประคองตัวอยู่ในท่านี้ให้ได้นานประมาณ 5 นาทีเป็นอย่างน้อย

วิธีสุด ท้าย วิธีที่สิบ เป็นการบริหารดวงตาตามหลักอายุรเวทอย่างแม้จริง นั่นคือ หลับตาลง แล้วใช้นิ้วนางทั้งสองข้างนวดบนเปลือกตาเบาๆ จากนั้นให้กดปลายนิ้วลงเล็กน้อยเพื่อนวดลูกตา โดยจะต้องนวดเป็นวงรอบๆ ดวงตา ทำครั้งละประมาณ 2-3 นาที

สิบวิธีบริหาร ดวงตาง่ายๆ เช่นนี้ คนที่มีปัญหาด้านสายตาทำแล้วก็จะดี ส่วนคนที่ไม่มีปัญหาด้านสายตาก็ทำได้เช่นกัน จะทำที่ไหนเมื่อไหร่ก็ได้ทั้งนั้น สำคัญคือต้องตั้งใจและให้ท่องไว้เสมอว่า บริหารดวงตาวันละนิด เพื่อชีวิตของดวงตาที่ยืนยาว

ที่มา: http://cid-a291c0b2e994b349.spaces.live.com/blog/cns!A291C0B2E994B349!752.entry

เมนูห้ามรับประทานขณะท้องว่าง



ก่อนที่จะรับประทาน ควรเลือกชนิดของอาหารเสียก่อนนะคะ เพราะบางทีอาหารที่เราทานลงไปทั้งๆ ที่มีประโยชน์แต่ไม่ถูกเวลา ก็อาจส่งผลเสียบางอย่างที่เราคาดไม่ถึงก็ได้ค่ะ ไปดูกันว่าอาหารที่ไม่ควรรับประทานขณะท้องว่างมีชนิดใดบ้าง

นมและนมถั่วเหลือง
แม้ว่านมถั่วเหลืองจะอุดมไปด้วยโปรตีน แต่จะเกิดประสิทธิภาพมากที่สุด เมื่อกระเพาะอาหารมีสาร ประเภทแป้งอยู่

เหล้า
หากดื่มเหล้าในขณะท้องว่าง จะไปกระตุ้นเยื่อบุกระเพาะอาหาร ทำให้เป็นโรคกระเพาะอาหารอักเสบ และเป็นแผลในกระเพาะอาหารได้

น้ำตาลหรืออาหารหวาน
ไม่ควรรับประทานอาหารหวานหรือน้ำตาล เช่น น้ำอัดลม ลูกอม ช็อกโกแลต เพราะหากรับประทานขณะ ท้องว่างจะทำให้โปรตีนรวมตัวกับน้ำตาลส่งผลต่อการดูดซึมโปรตีนทุกชนิดและลด สมรรถภาพการทำงานของระบบหมุนเวียนเลือดและไต

ชาที่แก่เกินไป
ชาทำให้กรดเกลือในน้ำย่อยในกระเพาะอาหารเจือจาง ส่งผลให้การทำงานของระบบย่อยอาหารลดลง และเกิดอาการใจสั่น เวียนศีรษะมือเท้าไม่มีแรง จิตใจไม่สงบ

ลูกพลับ
ไม่ควรรับประทานลูกพลับในขณะที่ท้องว่าง เพราะกระเพาะอาหารจะหลั่งกรดเกลือออกมามาก หากไป รวมตัวกับยาง และสารแขวนลอยในลูกพลับแล้ว จะทำให้เจ็บหน้าอก คลื่นไส้และเป็นแผลในกระเพาะอาหาร

กล้วย
เพราะกล้วยอุดมไปด้วยธาตุแมกนีเซียม การรับประทานกล้วยขณะท้องว่าง จะทำให้ปริมาณธาตุ แมกนีเซียมในเลือดสูงขึ้น ทำให้สูญเสียสัดส่วนของแคลเซียมและแมกนีเซียมไปเป็นการยับยั้งการทำงานของ หลอดเลือด หัวใจเป็นอันตรายต่อสุขภาพอย่างยิ่ง

กระเทียม
เพราะจะทำให้เยื่อบุกระเพาะอาหารได้รับการกระตุ้น เกิดโรคกระเพาะอาหารอักเสบอย่างรุนแรง

ผัก
การรับประทานผักอย่างเดียวขณะท้องว่าง จะทำให้กระเพาะอาหารเกิดอาการผิดปกติ

นอกจากนั้นยังไม่ควรอาบน้ำและออกกำลังกายด้วยเช่นกัน เพราะการอาบน้ำและการออกกำลังกายใน
ขณะที่ท้องว่าง จะทำให้เกิดอาการช็อกเนื่องจากน้ำตาลในเลือดต่ำได้ง่าย อย่าลืมสิ่งใดที่มีคุณอนันต์ก็ อาจมีโทษมหันต์เช่นกัน ถ้าคุณปฏิบัติอย่างผิดวิธี
ที่มา: http://www.ladytip.com/main/content/view/27/77/

วิธีดื่มน้ำรักษาโรค



วารสารทางการแพทย์ บอกว่าเมื่อตื่นนอนตอนเช้า ความเข้มของโลหิตยังสูงและมีผลต่อระบบ ความดันโลหิตในร่างกาย แพทย์แนะนำว่าทันทีที่ตื่นนอนให้ดื่มน้ำทันทีหนึ่งแก้ว เพื่อลดความเข้มของโลหิต พวกเราลองดูละกัน อีกอย่างที่พบมาก็คือ ท่านพุทธทาสก็ทำแบบนี้เหมือนกัน


เมื่อเร็วๆ นี้ มีคนมากมายส่งเสริมวิธีดื่มน้ำ เพื่อให้ร่างกายมีสุขภาพสมบูรณ์ นี่เป็นแบบนิยมอันดีงามอย่างหนึ่ง ชีวิตที่ดำรงอยู่ได้นอกจากอากาศที่บริสุทธิ์ก็คือน้ำ

น้ำหนักตัวของ คนเรา 2 ใน 3 ส่วนเป็นน้ำจึงมีคนว่าคนประกอบด้วยน้ำ อันที่จริงน้ำสามารถปรับอุณหภูมิในร่างกายของคนได้ สามารถทำให้ไตทำงานเป็นปกติขับถ่ายสิ่งโสโครกให้ออกจากร่างกายได้

นาย แพทย์แนะนำบ่อยๆ ว่าดื่มน้ำให้มากทุกๆ วัน วิธีดื่มน้ำรักษาโรคต่างๆ ตามที่ได้ทดสอบมาแล้วได้ผลดี ตื่นเช้าลุกขึ้น ไม่ล้างหน้า ไม่บ้วนปาก แล้วดื่มน้ำสุก 5 แก้ว (ขวดวิสกี้บรรจุได้ 3 แก้ว) หรือน้ำหนักของน้ำ 1.26 ก.ก.เท่ากับ 5 แก้วรวดเดียว จะรู้สึกหายใจเหนื่อยอึดอัดไปหน่อย หลังจากนั้นจะปัสสาวะบ่อยๆ การปฏิบัติยากลำบากเช่นนี้ หากผู้ที่ไม่มีความเชื่อมั่นอาจจะเลิกเสียกลางคัน ผู้ที่ใช้สมองทั้งวันทั้งคืนในธุรกิจการค้า หาเวลาว่างไปออกกำลังมิได้ทุกเช้าควรปฏิบัติดื่มน้ำรักษาโรคแทนการออกกำลัง กาย เชื่อมั่นได้ว่าจะต้องปราศจากโรค ชีวิตยั่งยืนอย่างไม่ต้องสงสัย

ใน ระยะนี้มีผู้ใจบุญพิมพ์คำอธิบายวิธีดื่มน้ำรักษาโรคต่างๆ ส่งไปให้เพื่อนฝูง เพื่อนที่ได้รับรู้สึกขอบคุณอย่างยิ่งการที่ช่วยซึ่งกันและกันแบบนี้ ควรจะเผยแพร่ให้มากขึ้น ผู้เขียนยินดีให้ "วิธีดื่มน้ำรักษาโรคของจีนนี้เปิดเผยให้ผู้อ่านได้มีโอกาสค้นคว้าและทดลอง" ได้เป็นเรื่องที่ไม่น่าเชื่อ แต่ความเป็นจริงได้ผลอย่างนี้แน่นอนเนื่องจากทำให้ลำไส้ให¬ญ่ผลิตโลหิตใหม่ มากขึ้น ซึ่งโลหิตใหม่นี้ผลิตขึ้นจากฝอยคล้ายสักหลาดที่อยู่ในลำไส้ให¬ญ่ซึ่งทำ หน้าที่ดูดธาตุอาหารต่างๆ ผลิตให้เป็นเม็ดโลหิต เนื่องจากลำไส้เคลื่อนไหวไม่เต็มที่ เป็นเหตุให้โลหิตจางมีอาการรู้สึกเพลียและเป็นโรค เป็นการรักษายาก ลำไส้ของใหญ่¬่ยาว 8 เมตร ทำหน้าที่ดูดธาตุต่างๆ จากอาหาร ถ้าลำไส้สะอาดอาหารที่ได้รับประทานเข้าไปผ่านการย่อยแล้วดูดไปผลิตให้เป็น โลหิตใหม่เป็นการเร่งให้เกิดพลังงานในร่างกายให้สมบูรณ์ขึ้น โรคต่างๆ จะหายไปเองอายุก็ยั่งยืน มหาวิทยาลัยตามมณฑลต่างๆ ในประเทศจีนได้ผ่านการทดลองและประกาศเปิดเผยให้ทราบโดยทั่วกัน

วิธี ดื่มน้ำรักษาโรคสามารถรักษาโรคดังต่อไปนี้ คือ ท้องผูก ปวดหัว เวียนศีรษะ โลหิตจาง โรคประสาท ความดันโลหิตสูง อัมพาตทั้งกาย เป็นลม ปากเบี้ยว โรคปวดตามข้อ โรคอ้วนพี ปวดในกระดูกเส้นเอ็น ปวดเมื่อย หูอื้อ ใจเต้น มือเท้าอ่อนเพลีย โรคไอ โรคหืด หอบ หลอดลมอักเสบ วัณโรค เยื่อสมองอักเสบ โรคตับ โรคไต เป็นนิ่ว กรดเปรี้ยวในกระเพาะอาหารมากเกินไป กระเพาะอืด กระเพาะอาหารเป็นแผลเน่าเรื้อรัง โรคบิด โรคริดสีดวงทวาร โรคเบาหวาน สายตาอ่อน โรคตาต่างๆ ตาออกเลือด สตรีประจำเดือนไม่ปกติ ระดูขาว มะเร็งในมดลูก มะเร็งเต้านม จมูกอักเสบ เจ็บคอ และโรคผิวหนังต่างๆ

ต่อ ไปนี้เป็นคำบอกเล่าของผู้ที่ได้ผ่านการทดลองดื่มมาแล้ว
1. ผู้เขียนได้พบกับผู้ชราที่มีสุขภาพอย่างสมบูรณ์ ได้ทักทายกับท่าน ถามท่านว่าเคยเจ็บไข้หรือเปล่า ท่านตอบว่าหลายสิบปีมาแล้วไม่เคยเจ็บไข้มาเลย ท่านกล่าวว่าตอนที่อายุ 20ปี กระเพาะอาหารเป็นแผลเน่าเรื้อรังนอนอยู่กับที่นานถึง 10 ปี ได้ผ่านการตรวจจากนายแพทย์ 5 ท่าน รักษาฉีดยา รับประทานยา ไม่ได้ผล ต่อมามีนายแพทย์ท่านหนึ่งได้แนะนำว่าคุณควรทดลองดื่มน้ำสุกอย่างนี้ ตื่นแต่เช้าหน้าไม่ล้าง ปากไม่บ้วน ดื่มน้ำสุก 5 แก้วทุกๆ วัน อย่าให้ขาดตอน และห้ามไม่ให้รับประทานอาหารก่อนเข้านอน นายแพทย์สั่งเสร็จก็กลับไปโดยไม่ให้ยาไปกิน วันรุ่งขึ้นผมก็ทำตามนายแพทย์สั่ง ดื่มน้ำ 5 แก้วรวดเดียว ในหนึ่งชั่วโมงปัสสาวะ 3 ครั้ง หลังจากนั้นก็รับประทานข้าวต้ม รู้สึกรสชาติของข้าวต้มอร่อยกว่าที่แล้วๆ มาวันที่สองดื่มน้ำ 5 แก้วอีกถ่ายอุจจาระออกมามีเลือดดำปนอยู่มากต่อจากนั้นสามเดือนน้ำหนักตัว เพิ่มขึ้นอีก 10 ก.ก. เวลานี้ผมอายุ 64 ปีแล้ว นับแต่ได้ปฏิบัติดื่มน้ำมายังไม่เคยเจ็บไข้ได้ป่วยเลย แม้แต่หวัดก็ไม่เคยเป็น

2. เมื่อผมยังเป็นเด็กเคยเป็นเยื่อสมองอักเสบ นายแพทย์สั่งให้ดื่มน้ำ 5 แก้วทุกวัน ไม่นานเยื่อสมองที่อักเสบก็หายไปเอง ภรรยาผมเมื่อ 10 ปีก่อนเป็นโรคหัวใจและเป็นโรคอ้วนเกินไป ร่างกายสูงไม่เกิน 5 ฟุต น้ำหนักตัว 120 ก.ก. พอดื่มน้ำได้ 15 วัน โรคหัวใจ โรคประสาท โรคเข็ดเมื่อยก็ค่อยๆ ดีขึ้น ดื่มน้ำได้สองเดือนน้ำหนักตัวลดลงไป 16 ก.ก. เมื่อก่อนเราต้องใช้ยาประจำ นวดไฟฟ้า และรักษาด้วยวิธีเข็มแทงแบบหมอจีนก็ไม่หาย แต่เวลานี้หายไปหมดแล้วจากการดื่มน้ำ

3. อาจารย์ในมหาวิทยาลัยญี่ปุ่นเคยแถลงการณ์ร่วมสองครั้ง เกี่ยวกับฝอยคล้ายสักหลาดในลำไส้ผลิตโลหิตขึ้น จนเดี๋ยวนี้ไม่เห็นมีใครโต้แย้งเลย ไม่ว่าโลหิตจะมาจากไหน แต่ธาตุต่างๆ จะต้องมาจากอาหารอย่างแน่นอน เมื่ออาหารลงไปถึงกระเพาะแล้วผ่านการย่อยลงไปสู่ลำไส้ใหญ่ ลำไส้เล็ก ธาตุส่วนมากกลายเป็นของเหลว เมื่อลำไส้ยาว 8 เมตร ดูดธาตุต่างๆ เสร็จก็จะส่งไปสู่ลำไส้ออกของที่ทวารหนักซึ่งเป็นของที่ไม่มีประโยชน์สำหรับ ร่างกาย

4. กระเพาะเป็นแผลเน่า ดื่มน้ำ 1 สัปดาห์ก็เห็นผล โรคความดันโลหิตสูง ดื่มน้ำ 1 เดือนเริ่มเห็นผล กระเพาะบิด 3 เดือนเริ่มเห็นผล ท้องผูก 3 วันก็เห็นผล ท้องเป็นบิดกับปัสสาวะกลางคืนบ่อยๆ ดื่มน้ำ 1 สัปดาห์ก็เห็นผล เข็ดเมื่อยตามข้อ 3 เดือนเห็นผล ผู้สูงอายุเข็ดเมื่อยทั้งร่างกาย ดื่มน้ำ 2 เดือน เห็นผล โดยเฉพาะผู้ที่โลหิตคั่งอยู่ในสมอง เกิดเป็นลมขึ้นเป็นมายังไม่เกิน 3 เดือน ดื่มน้ำเพียงสัปดาห์เดียวก็หายเหมือนเดิม รับรองไม่พิการหรือเป็นอัมพาต

ผู้ ที่ดื่มน้ำควรทราบ ดื่มน้ำสุกดีที่สุด หากดื่มน้ำประปา ควรจะใส่ขวดไว้แรมคืนให้ตกตะกอนเสียก่อนเพื่อป้องกันท้องร่วง เวลารับประทานอาหารดื่มน้ำได้ตามปกติ แต่หลังอาหารสองชั่วโมงไม่ควรดื่มอีก ก่อนเข้านอนไม่ควรรับประทานอาหาร โดยเฉพาะอย่างยิ่งห้ามรับประทานน้ำส้มคั้น และจำพวกแอปเปิ้ล ผู้ที่มีโรคประจำตัวดื่มน้ำทีเดียว 5 แก้วไม่ใช่ของง่าย ดื่มน้ำเสร็จทางที่ดีใช้หรือออกกำลังสัก 20นาที คนไข้ที่นอนอยู่บนเตียงไม่สามารถลุกขึ้นได้ ดื่มน้ำเสร็จให้สูดอากาศเข้าปอดให้มากๆ และนวดที่บริเวณที่สะเอวให้น้ำไหลลงสู่ลำไส้ให้สะอาด ดื่มน้ำวันแรกภายใน 1 ชั่วโมง จะปัสสาวะ 3 ครั้งติดๆ กัน แต่ต่อไป 3 - 4 วัน การถ่ายท้องจะเป็นปกติภายใน 7 - 8 วัน การปัสสาวะเป็นเพียงครั้งเดียว นับแค่นั้นไปจะรู้สึกร่างกายสบาย เวลารับประทานอาหารจะรู้สึกอร่อยเป็นพิเศษ นี่เป็นการแสดงให้เห็นว่ากระเพาะลำไส้ได้ถูกชำระสะอาดแล้ว ผู้ที่หมดหวังแล้วจะรอดตายด้วยวิธีดื่มน้ำรักษาโรคต่างๆ นี้ จึงเขียนมาให้ทราบโดยทั่วกัน ขอให้ทุกท่านจงปราศจากการไข้และป่วยต่างๆ

ที่มา: http://www.ladytip.com/main/content/view/87/77/

ดูแลผิวรอบดวงตาแบบง่ายๆ



1.
ควรตรวจสุขภาพตา เป็นประจำทุกๆ 2-4 ปี แต่สำหรับผู้ที่อายุ 65 ปีขึ้นไปแล้ว ควรจะตรวจให้บ่อยขึ้นคือทุกๆ 1-2 ปี

2. ควรใช้สายตาในที่มีแสงสว่างเพียงพอ และ หลีกเลี่ยงการเพ่งมองเป็นเวลานาน ๆ แต่ถ้าจำเป็นต้องนั่งหน้าคอม หรือ อ่านหนังสือนานๆ ก็ให้หยุดพักประมาณ 15-20 นาที แล้วมองไปไกลๆ หรือมอง ต้นไม้สีเขียวก็ได้ เพราะสีเขียวเป็นสีโทนกลางซึ่งเมื่อเรามองแล้วจะรู้สึกสบายตา ทำให้ช่วยผ่อนคลายกล้ามเนื้อตาค่ะ

3. สวมแว่นตากันแดดทุกครั้งที่อยู่ในที่ที่มีแสงจ้า และหลีกเลี่ยงการโดนลมแรง เพราะจะทำให้ตาแห้ง


4. หลีกเลี่ยงการใช้มือขยี้ตา โดยเฉพาะการขยี้ตาแรงๆ จะทำให้ดวงตาเกิดริ้วรอยและหย่อนคล้อย แต่ถ้าคันจริงๆให้ ลองใช้ปลายนิ้วค่อยๆคลึงเบาๆบนเปลือกตาแทนการขยี้ตาจะดีกว่านะค่ะ และอย่าใช้ของร่วมกับผู้อื่น เช่น ผ้าเช็ดหน้า เพราะอาจจะมีเครื่องสำอางค์ที่ตกค้างอยู่บนผ้าเช็ดหน้า มาทำให้เกิดการติดเชื้อและอักเสบได้

5. ถ้าดวงตาเกิดอาการบวมแดง หรือดูอิด โรยไม่สดใส ให้ใช้สำลีชุบน้ำเย็นหรือผ้าห่อน้ำแข็ง มาวางไว้บนเปลือกตา ทั้งสองข้าง เพื่อช่วยให้อาการดีขึ้น

6. ไม่ควรหยอดตาบ่อยๆ โดยไม่จำเป็น เพราะนัยน์ตามีน้ำหล่อเลี้ยงธรรมชาติอยู่ การหยอดตาหรือล้างตาบ่อยๆ จะทำลายภูมิคุ้มกันของน้ำตาให้หมดไป ซึ่งอาจจะยิ่งเกิดความระคายเคืองมากยิ่งขึ้น


7. ควรบริหารดวงตา โดยการกรอกลูกตาไปมาเป็นวง กลม เริ่มจากตามเข็มนาฬิกาครบ 1 รอบแล้วกรอกทวนเข็มนาฬิกา ทำอย่างนี้ซ้ำๆกัน วันละ 2-3 ครั้ง หรือนอนหงายหรือนั่งหลับตาสักพัก แล้วใช้แตงกวาฝานเป็นชิ้นบางๆ นำมาแปะไว้ บนเปลือกตาทั้งสองข้าง เมื่อลืมตาขึ้นมาจะทำให้ดวงตาดูมีชีวิตชีวาขึ้น

8. การนอนอย่างเพียงพอ เป็นการพักผ่อน สายตาที่ดี ห้ามอดนอน เพราะจะทำให้ดวงตาดูหมองคล้ำไม่น่ามอง และอย่าพยายามนอนคว่ำหน้านะค่ะเพราะจะทำให้หน้ายับซึ่งเป็นเหตุของการเกิด ริ้วรอยค่ะ

9. การแต่งหน้า อาจทำให้เกิดถุงใต้ตาและรอยเหี่ยวย่นได้ง่าย เนื่องจากเนื้อครีมเข้มข้นอาจใช้แรงกดในการทา ซึ่งทำ ให้เกิดริ้วรอยได้ ดังนั้นควรหาผลิตภัณฑ์ที่มีคุณสมบัติบำรุงผิวหน้าและผิวรอบดวงตาโดยเฉพาะ และต้องมีเนื้อ ครีมที่บางเบา ไม่มีสารที่ก่อให้เกิดอาการระคายเคือง

10. การทำความสะอาดรอบดวงตา ควร ทำความสะอาดผิวรอบด้วยตาให้สะอาดและทำอย่างละมุนละไม อย่าเช็ดแรง และควรเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีความอ่อนโยน ด้วยการใช้สำลีชุปผลิตภัณฑ์สำหรับทำความสะอาด รอบดวงตา เช็ดผิว โดยการปัดลงเบาๆไปในทิศทางเดียวกัน โดยเริ่มจากบริเวณโหนกคิ้วถึงปลายตา จากนั้น ใช้สำลีปัดขึ้นจากขอบตาบน จนถึงปลายคิ้วแล้วทำซ้ำจนกว่าจะไม่เหลือคราบเครื่องสำอางค่ะ

11. ควรดื่มน้ำให้เพียงพอกับความต้องการของร่างกาย ประมาณ วันละ 8 แก้วหรือประมาณ 2 ลิตรค่ะ เพราะนอกจาก ช่วยให้ผิวรอบดวงตาดูสดใสแล้ว น้ำยังทำให้ผิวพรรณของเราดูชุ่มชื่นด้วยนะค่ะ

12. งดการสูบบุหรี่และการดื่มแอลกลอฮอล์ เพราะ จะทำให้ผิวแห้งและดูหย่อนคล้อย ลองสังเกตุ ดูนะทุกครั้ง หลังดื่่มแอลกลอฮอล์จะรู้สึกได้ว่าร่างกายขาดน้ำและจะรู้สึกได้ว่าหน้าเราดู แห้งเหี่ยวค่ะ

อาหารเสริมเพื่อดวงตาที่สดใส
1. รับประทานผัก ผลไม้ ที่มีสารต้านอนุมูลอิสระ (Anti Oxidant) ในปริมาณสู

เช่น ผลบลูเบอร์รี่ ผักใบเขียว และแครอท ซึ่งจะช่วยลดอันตรายจากอนุมูลอิสระในแสงแดดที่ทำลาย จอตา และช่วยลดปัญหาตาบอดจากจอ ประสาทตาเสื่อมได้ อีกทั้งช่วยให้สายตาทำงานดีขึ้นในที่มืด และมีความไวในที่แสงน้อยๆดีกว่า

2. รับประทานผักที่มีสารลูทีน (Lutien) และซีแซนทีน (Zeaxanthin)

ซึ่งเป็นสารแคโรทีนอยด์ชนิดหนึ่งมีสีเหลือง พบมากในพืชผักที่มีสีเหลืองและสีเขียวเข้ม เช่น ผลอะโวคาโด บร็อคโคลี่ ข้าวโพด ฟักทอง ผักโขม และผักกวางตุ้ง เหล่านี้ล้วนเป็นสารธรรมชาติที่พบมากในตาบริเวณจุดรับภาพ และจอประสาทตา ทำหน้าที่ช่วยกรอง หรือป้องกันรังสีจากแสงแดด ช่วยปกป้องเซลล์ของจอประสาทตาไม่ให้ถูก ทำลาย โดยการต้านอนุมูลอิสระ พร้อม ทั้งกรองแสงสีน้ำเงินที่จะทำลายดวงตา

3. รับประทานสารสกัดของโอเมก้า 3 หรือรับประทานปลา ชนิดต่างๆ

รู้กันอย่างนี้แล้ว ก็อย่าช้า!! รีบกลับไปดูแลรักษาดวงตาของเราเพื่อความสวยงามและสดใส พร้อมทั้ง บ่งบอกถึงความมีสุขภาพกายที่ดีและยังทำให้เราเป็นที่น่าสนใจของเพศตรงข้าม ได้อีกด้วย

ที่มา: http://razzii.allblogthai.com/3

วันพฤหัสบดีที่ 17 มิถุนายน พ.ศ. 2553

รอยหมองคล้ำใต้ดวงตา

ปัญหาหนักอกของสาวๆ ยุคไอที






ปัญหารอยหมองคล้ำ ใต้ดวงตา สร้างความรําคาญใจให้สาวๆ ไม่น้อย โดยพบว่าในแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ร้อยละ 51.2 ของสาวๆ วัย 20 ปีขึ้นไปมักจะพบว่าบริเวณรอบดวงตามีรอยคล้ำ ซึ่ง เป็น ปัญหาสําคัญที่รองลงมาจากปัญหาการเกิดสิว

ปัญหารอบดวงตามีรอยคล้ำ เกิดจากการมีอายุที่เพิ่มมากขึ้น การพักผ่อนไม่เพียงพอ รวมถึงกรรมพันธุ์ ฯลฯ ฉะนั้นหากรอบดวงตามีรอยคล้ำ สาวๆ ไม่ควรนิ่งนอนใจควรจะหาทางลดปัญหาเหล่านั้น เพราะเมื่อรอบดวง ตามีรอยคล้ำ ก็จะทําให้เวลาแต่งหน้าหรือแต่งเติมสีสันบนเปลือกตาทําได้ยาก เมื่อทาอายแชโดว์แล้วจะไม่ได้สีตามที่ใจปรารถนาเสมือนการระบายสีบนกระดาษสี หม่นย่อมไม่ได้สีสวย นอกจากนั้นรอยคล้ำยังทําให้ใบหน้าดูเหนื่อยล้าหมองคล้ำไม่สดใส และดูแก่กว่าวัยอีกด้วย

แม้ปัญหาความหมอง คล้ำเหล่านี้ จะสามารถกลบเกลื่อนได้ด้วยการแต่งหน้าอย่างมืออาชีพ แต่เพื่อความกระจ่างใสอย่างยั่งยืนแล้ว การแก้ไขจากต้นเหตุน่าจะเป็นวิธีที่ถูกต้อง อาทิ พักผ่อนให้เพียงพอ ลดความเครียดและการใช้งานของกล้ามเนื้อดวงตาให้น้อยลง ประกอบกับการใช้ผลิตภัณฑ์บํารุงที่ทรงประสิทธิภาพด้วยส่วนผสมของวิตามินซี ที่ช่วยลดเลือนรอยหมองคล้ำและปรับสีผิวรอบดวงตา ควบคู่กับการนวดลดเลือนรอยคล้ำใต้ตา ก็จะช่วยให้เลือดไหลเวียนได้ดีขึ้น ส่งผลให้รอยหมองคล้ำรอบดวงตาหายไป และผิวหน้าก็จะดูเปล่งปลั่งขึ้นด้วยเช่นกัน


ข้อแนะนําเพื่อดวง ตากระจ่างใส

+ หลีกเลี่ยงการใช้นิ้วมือขยี้ตา เพราะจะเป็นการกระตุ้นให้เกิดริ้วรอยเหี่ยวย่นรอบดวงตา ตลอดจนอาจเกิดการอักเสบอันเนื่องมาจากเชื้อโรคที่ติดอยู่บนมือทั้งสองข้าง ถ้ารู้สึกคันหรือระคายเคืองตา ให้ใช้น้ำยาล้างตาหรือใช้ผ้าเช็ดหน้าสะอาดซับเบาๆ พอให้หายคัน

+ เมื่อดวงตาเกิดความเหนื่อยล้า อ่อนเพลีย ลองหาแตงกวาฝาน หรือถุงชาที่ใช้แล้วแบบแช่เย็น วางไว้บนเปลือกตาสองข้าง นอนพักสักครู่ จะช่วยให้อาการอ่อนล้าดีขึ้น

+ การดื่มน้ำอย่างน้อยวันละ 6 - 8 แก้ว หรือ 2 ลิตร จะช่วยป้องกันรอยคล้ำใต้ตาได้

ที่มา: http://women.mthai.com/views_Beauty-Tip-Trick_11_44_37065_1.women

วันอังคารที่ 15 มิถุนายน พ.ศ. 2553

สุขภาพ 25 Healthy Tips อย่ามองข้ามเรื่องเล็ก(แต่ร้าย)


วันนี้มีทิปส์ดี ๆ เพื่อสุขภาพมาฝากกัน ใครอยากมีสุขภาพดี ปฏิบัติตามไปพร้อม ๆ กันเลย


1. การดื่มน้ำ

ปริมาณมากในเวลาอันรวดเร็ว อาจก่อให้เกิดสภาวะน้ำเป็นพิษเนื่องจากเลือดเจือจาง ร่างกายจึงขับโปแตสเซียมออกจากเซลล์ เพื่อปรับสมดุลระหว่างน้ำในเซลล์และนอกเซลล์ ผลที่ตามมาคือเป็นตะคริว กล้ามเนื้อเกร็ง หากเกิดอาการเกร็งที่สมอง หัวใจ หรือปอด จะทำให้ระบบหายใจล้มเหลวและเสียชีวิตได้ แต่ไม่ต้องกังวลจนเกินไป เพราะหากดื่มน้ำทีละเล็กทีละน้อย แม้ดื่มมากกว่าปกติก็ไม่เป็นอันตราย เพราะไตจะขับออกมาเป็นปัสสาวะ และถ้าเมื่อไรมีอาการจุกนั่นแสดงว่าดื่มน้ำมากไป ควรหยุดได้แล้ว

2. การปล่อยให้ตนเองหิวอาจนำไปสู่โรคร้าย

เพราะความหิวกระตุ้นร่างกายให้หลั่งฮอร์โมนความเครียด ซึ่งหากเกิดขึ้นเป็นประจำจะทำให้เกิดโรคความดันโลหิตสูง โรคหัวใจ หรือเบาหวานได้ ลองควบคุมความหิวด้วยการแบ่งมื้ออาหารจากวันละ 3 มื้อเป็นมื้อเล็ก ๆ 5-6 มื้อต่อวัน

3. ชา กาแฟ รวมถึงเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีน

ไม่เหมาะกับผู้ที่มีอาการปวดหลัง เพราะคาเฟอีนลดการหลั่งสารเอนโดรฟีนซึ่ง เป็นสารธรรมชาติที่ร่างกายผลิตขึ้น และมีฤทธิ์ลดอาการปวดตามอวัยวะต่าง ๆ

4. วิธีง่าย ๆ ในการดูแลสุขภาพคือ

หลังจากตื่นนอนทุกเช้าจะดื่มน้ำส้มสายชูที่หมักจากผลแอปเปิ้ล ผสมกับน้ำผึ้งอย่างละ 1:1 ใส่น้ำอุ่นคนให้เข้ากันแล้วค่อยเติมน้ำแข็งลงไปเพื่อให้ทานง่าย และมีรสชาติดีขึ้น ซึ่งวิธีนี้จะไปช่วยการดูดซึมของระบบลำไส้ และการเผาผลาญของร่างกาย แต่โรคบางโรคอาจเกิดจากสุขภาพจิตที่อ่อนแอ ในหนึ่งอาทิตย์จึงควรจะมีวันพักผ่อนอย่างจริงจัง หรือทำกิจกรรมที่ผ่อนคลาย เช่น เล่นโยคะ เพื่อฟื้นฟูสุขภาพกาย และลดมลภาวะทางจิตใจไปพร้อม ๆ กัน

5. การนอนดึก


คืนวันศุกร์-เสาร์แล้วตื่นสายในวันเสาร์-อาทิตย์ ทำให้นาฬิกาชีวภาพของร่างกายตั้งเวลาตื่นใหม่ เมื่อถึงวันจันทร์จึงมีอาการอิดเอื้อนไม่อยากตื่น ทั้งยังทำให้ขาดสมาธิในการทำงานหรือเรียนหนังสืออีกด้วย

6. แสงแดดยามเช้า


ไม่ได้ช่วยให้กระดูกแข็งแรงเท่านั้น แต่การออกกำลังกายกลางแดดในช่วงเวลาดังกล่าว ยังช่วยให้ร่างกายผลิตสารเอนโดรฟีน ซึ่งเป็นสารต่อต้านอาการซึมเศร้าตามธรรมชาติอีกด้วย

7. ความเครียดเป็นตัวการทำลายผิวที่ร้ายแรงที่สุด


ฉะนั้นเราต้องปรับความคิดใหม่ และใช้ร่างกายเราอย่างทะนุถนอมตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า ใช้ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวที่เหมาะสม หาเวลาออกกำลังกายบ้าง และรับประทานอาหารดี ๆ

8. แอปเปิ้ล แตงโม กล้วย กีวี มีประโยชน์


แต่ถ้าคุณรับประทานยาปฏิชีวนะอยู่ ควรหลีกเลี่ยงผลไม้เหล่านี้ เพราะบูดง่ายในลำไส้ อาจเกิดการอักเสบในระบบทางเดินอาหารได้

9. การไอเรื้อรัง


อาจเกิดจากการติดเชื้อไวรัส ยาปฏิชีวนะที่แพทย์สั่งเพื่อรักษาอาการหวัด ไม่สามารถฆ่าเชื้อไวรัสได้ ให้ใช้วิธีที่สุดแสนธรรมดาแต่ได้ผลมากกว่าคือ ดื่มน้ำบ่อย ๆ เพื่อลดเสมหะในทางเดินหายใจ อมยาอมให้ลำคอชุ่มชื่นอยู่ตลอดเวลา และนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ เพื่อให้ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ แค่นี้ก็หายแล้ว

10. การที่เราคิดว่าตัวเองมีสุขภาพดี


แถมอายุยังน้อย ทำให้เราชะล่าใจในการดูแลรักษาสุขภาพ เวลาเกิดอะไรผิดปกติขึ้นกับร่างกายจะคิดว่าช่างมัน เดี๋ยวคงหายเอง ซึ่งไม่ถูกต้อง

11. เมื่อมีอาการเท้าและข้อเท้าบวม

ให้นั่งยอง ๆ ทุกวัน ๆ ละ 15 นาที แล้วขยับข้อเท้าไปข้างหน้าและข้างหลัง เพื่อช่วยให้โลหิตไหลเวียนได้ดีขึ้น หลังจากนั้นใช้แปรงที่ขนทำจากวัสดุธรรมชาติ แปรงผิวหนังเบา ๆ เริ่มบริเวณฝ่าเท้าซึ่งเป็นศูนย์รวมของเส้นประสาททั่วร่างกาย แล้วค่อย ๆ ปัดไล่ขึ้นมาที่ข้อเท้า น่อง ต้นขา ท้อง แขนไปจนสุดที่มือทั้งสองข้าง (ยกเว้นผู้ที่เป็นเบาหวาน เพราะเสี่ยงจะเกิดบาดแผล) จากนั้นอาบน้ำอุ่นแล้วตามด้วยน้ำเย็น จะช่วยให้เลือดไหลเวียนได้ดีขึ้น

12. ผู้ที่เป็นโรคเบาหวาน

และรับประทานไข่มากกว่าอาทิตย์ละ 1 ครั้ง เสี่ยงเป็นโรคหัวใจมากขึ้น

13. ผู้ที่รับประทานไข่เป็นเวลา 8 อาทิตย์

ลดน้ำหนักได้มากกว่าผู้ที่ไม่รับประทานถึง 65 เปอร์เซ็นต์ และรอบเอวลดลงเกือบสองเท่า เพราะผู้ที่รับประทานไข่รู้สึกอิ่มกว่าการรับประทานขนมปัง ทำให้รับประทานอาหารกลางวันและอาหารเย็นน้อยลง

14. การรับประทานอาหารไปดูหนังไป


ทำให้รับประทานอาหารมากขึ้นโดยไม่รู้ตัว แม้ว่าจะกินอิ่มมาแล้วหรือรสชาติของอาหารไม่ได้เรื่องเลยก็ตาม นอกจากนี้ไฟสลัว ๆ ทำให้ผู้ที่รับประทานอาหารไม่ค่อยระวังตัว เพลิดเพลินเจริญอาหารไปเรื่อย

15. เสียงเพลง

มีอิทธิพลต่ออารมณ์ของคนเรา ยิ่งดนตรีมีจังหวะเร็วเท่าไรก็ยิ่งกระตุ้นให้รับ ประทานอาหารมากขึ้นเท่านั้น

1
6. การดื่มน้ำ (เปล่า) เย็น

50 ออนซ์ (8 ออนซ์= 1 ถ้วย) จะช่วยเผาผลาญพลังงานเพิ่มขึ้นวันละ 50 แคลอรี เท่ากับช่วยให้น้ำหนักลดลงปีละ 5 ปอนด์หรือ 2.5 กิโลกรัม เพราะการดื่มน้ำเปล่าไม่ทำให้ร่างกายได้รับพลังงาน แต่ต้องใช้พลังงานในการเผาผลาญน้ำ ยิ่งไปกว่านั้นน้ำเย็นทำให้ร่างกายต้องใช้พลังงานเผาผลาญมากขึ้นอีก

17. การออกกำลังกาย

ด้วยการยกน้ำหนักและพิลาทิส ควบคู่กันไปจะช่วยพัฒนาความแข็งแรงของปอดและหัวใจ รวมถึงความแข็งแรงและยืดหยุ่นของโครงสร้าง และการรับประทานอาหารมื้อย่อย ๆ 5 มื้อต่อวัน โดยมื้อกลางวันจะเน้นอาหารประเภทโปรตีนเพียง 1 มื้อ นอกนั้นเน้นผักและผลไม้ จะทำให้มีพลังงานที่พอเหมาะในการใช้งาน และไม่ทิ้งไขมันส่วนเกินสะสม

18. ผู้ชายที่รับประทานมะเขือเทศ


ซึ่งมีไลโคปีนสูงอย่างน้อยอาทิตย์ละ 10 ผลหรือมากกว่านั้นเสี่ยงเป็นมะเร็งต่อมลูกหมากน้อยลง 45 เปอร์เซ็นต์ วิธีง่าย ๆ ให้นำมะเขือเทศไปปั่นให้ละเอียดเติมน้ำมันมะกอกและนำไปปรุงสุก ความร้อนจะช่วยให้มะเขือเทศปล่อยสารไลโคปีนออกมามากขึ้น

19. รับประทานแอปเปิ้ลหนึ่งชิ้นหลังอาหาร


ช่วยเพิ่มปริมาณน้ำลาย ซึ่งเป็นส่วนสำคัญในการลดแบคทีเรียในช่องปาก และช่วยให้เหงือกแข็งแรง การรับประทานสับปะรด และมะละกอคือก่อนอาหารประมาณ 2-3 ชิ้น ดีต่อกระเพาะอาหารเพราะมีเอนไซน์ซึ่งช่วยย่อย จึงเท่ากับช่วยให้กระเพาะย่อยอาหารมื้อหลักที่ตามลงมาได้ง่ายขึ้น

20. หากไม่อยากมีกรดในกระเพาะมากเกินไป


ควรลดปริมาณการดื่มน้ำผลไม้เข้มข้นอย่างเช่น มะนาว ส้ม ส้มโอ เกรฟฟรุ๊ต หรือน้ำมะเขือเทศสดปั่น หรือทำให้เจือจางด้วยการผสมน้ำเข้าไป

21. สำหรับหนุ่มเจ้าสำราญ


ที่ชอบปาร์ตี้หามรุ่งหามค่ำ ก็สามารถฟื้นฟูร่างกายได้ด้วยการนอนหลับให้นานหน่อย อีกวิธีหนึ่งในการดูแลตัวเองคือมีแฟนเด็ก จะได้มีแรงกระตุ้นให้เราทำตัวเด็กตาม ต้องดูดีตลอดเวลา เพราะฉะนั้นอบายมุข การเที่ยวกลางคืนก็เป็นอันต้องงด

22. การเล่นเกมคอมพิวเตอร์


โดยเฉพาะเกมที่ต้องใช้สมาธิ ช่วยให้ระบบประสาททำงานเชื่อมต่อกันอย่างมีประสิทธิภาพ ป้องกันโรคอัลเซเมอร์ได้ เกมอื่น ๆ เช่น ปริศนาอักษรไขว้ หรือเลือกเรียนดนตรี ก็ช่วยได้เช่นกัน

23. การใช้พลาสติกใส่อาหารหรือปิดอาหาร

รวมถึงใส่จานชามพลาสติกในไมโครเวฟ เพราะความร้อนจะทำให้พลาสติกปนเปื้อนในอาหาร เพิ่มความเสี่ยงในการเป็นมะเร็งเต้านม

24. ก่อนตั้งครรภ์

ควรเตรียมตัวล่วงหน้าประมาณ 3 เดือน 1.ดูแลเรื่องอาหารการกิน เน้นโฟเลต แคลเซียม วิตามินต่าง ๆ ป้องกันอาการแพ้ท้องหรืออยากอาหารประหลาด ๆ 2.ระวังเรื่องการรับประทานยาทุกชนิด อ่านฉลากให้ดี เพราะอาจทำร้ายลูกโดยไม่เจตนา 3.ทำใจให้สบาย คิดในแง่บวก 4. ออกกำลังกายที่เหมาะสม


25. ถ้ามื้อนั้นรับประทานเนื้อสัตว์ในปริมาณมาก


ไม่ควรรับประทานผลไม้อีก เพราะใช้เวลานาน ทำให้ผลไม้ที่ย่อยเสร็จไปเรียบร้อยกว่าเนื้อจะย่อยหมดต้องแล้วถูกกักอยู่ในกระเพาะ เกิดกรดในกระเพาะอาหารได้

ที่มา: http://www.zazana.com/Health-/25-Healthy-Tips-()-id6774.aspx

เพิ่มเติมได้ที่นี้ คลิ๊กเลยค่ะ

อยากสวยเหมือน เลดี้ กาก่า ต้องงี้เยย