วันอังคารที่ 20 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

จอร์จ แครอล กล่าวว่า น้อยคนนักจะรู้วิธีสระผมให้ถูกต้อง นักออกแบบทรงผมท่านนี้เป็นผู้ออกแบบผลิตภัณฑ์สำหรับเส้นผม และเป็นที่ปรึกษาด้านอุตสาหกรรมความงามและการบันเทิงในฮอลลีวูด เขาบอกว่าการสระผมด้วยวิธีที่เหมาะสมไม่ใช่เป็นเพียงการปรับปรุงความงามสลวย ให้ผมเท่านั้น แต่ยังช่วยถ่วงเวลาการหลุดล่วงของเส้นผมแบะทำให้ผมยาวมีสุขภาพดีขึ้น วิธีที่เขาแนะนำมีดังนี้
  • ก่อนจะย่างเท้าเข้ารับน้ำฝักบัว ให้แปรงผมด้วยแปรงที่มีขนแข็งๆ ทำจากขนหมูป่า โดยแปรงย้อนจากข้างหลังมาข้างหน้า วิธีนี้เป็นการกระตุ้นการไหลเวียนและกำจัดสารแต่งผมต่างๆ ที่จับตัวเป็นก้อนให้หมดไป
  • โกรกผมด้วยน้ำอุ่นให้เปียก (น้ำร้อนเกินไปทำให้ชั้นไขมันที่เคลือบป้องกันผมหลุดลอกไปหมด) ลงแชมพูที่บริเวณท้ายทอย สระจากตีนผมก่อนแล้วจึงไล่ขึ้นมาบนศีรษะ
  • นวดหนังศีรษะให้ทั่วถึงอย่างน้อย 3 ครั้ง เพื่อให้สารอาหารในแชมพูซึมแทรกเข้าไปในกระเปาะผมและทำให้รากผมสะอาดปราศจาก สิ่งตกค้างอุดตันหลังจากล้างด้วยน้ำจนผมสะอาดดีแล้ว จึงใส่ครีมปรับสภาพผมหรือครีมนวดผม ถ้าคุณสระผมนอกห้องน้ำ ให้ห่อพันศีรษะด้วยผ้าขนหนูนึ่งไอน้ำ(ผ้าขนหนูชุบน้ำให้เปียกแล้วอบใน ไมโครเวฟ 2 นาที) อบผมทิ้งไว้ 30-60 วินาที ไอน้ำทำให้ครีมปรับสภาพทำงานมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น เพราะครีมสามารถซึมเข้าในเส้นผมแต่ละเส้นได้อย่างสม่ำเสมอ และทั่วถึง
  • จบลงด้วยการล้างออกด้วยน้ำค่อน ข้างเย็นเพื่อกระตุ้นกระชับรูขุมขนที่หนังศีรษะ ทั้งช่วยให้เส้นใยของผมทรงตัวดี ลดอาการผมลีบ และเพิ่มความเงาและน้ำหนักให้เส้นผม
ที่มา: http://www.perfectly-health.com/index.php?lay=show&ac=article&Id=538713176&Ntype=4

วันอังคารที่ 13 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

เมื่อรังแครังควาน แก้ได้ด้วยสูตรธรรมชาติ



รังแค (dandruff) เกิดจากผิวหนังอักเสบ ส่งผลให้เซลล์หนังศีรษะตาย และเกิดการเพาะตัวของเชื้อรา

ซึ่งจับตัวรวมอยู่กับน้ำมันจากต่อมไขมัน จนหลุดลอกออกเป็นขุย เป็นแผ่นๆ หรือเป็นผงเล็กๆ

ติดอยู่ตามเส้นผม และหนังศีรษะ ทำให้ศีรษะมีกลิ่นเหม็น และมีอาการคัน รังแคเกิดได้กับ

ทั้งคนผมแห้งและผมมัน ในผู้ที่มีผมมัน มักเกิดจากกรดไขมันบนหนังศีรษะ ซึ่งทำให้ระคายเคือง

ต่อเซลล์รอบรากขน และไปกระตุ้นให้เซลล์โตเร็วขึ้น จนลอกออกเป็นรังแค แต่สำหรับคนที่มี

หนังศีรษะปกติ เกิดจากการขาดความชุ่มชื้น หรือขาดการดูแลรักษาความ สะอาดเส้นผม

ในบางรายอาจอาจจะมีปัญหาของโรคผิวหนังตามมา เช่น ผิวหนังอักเสบ โรคสะเก็ดเงิน

โรคแพ้สารเคมี หรือหนังศีรษะถลอก เนื่องมาจากการแคะ แกะ เกา หรือในรายที่เป็นมาก

อาจเป็นที่คิ้ว ร่องจมูก แก้ม ไรผม รอบหู หลังหู รักแร้ และอวัยวะเพศ

5 ข้อควรเลี่ยงเมื่อเป็นรังแค


1.
ความเครียด ก็มีส่วนสำคัญไม่น้อยในการไปกระตุ้น หรือซ้ำเติมปัญหา
ผิวหนังขึ้นมาได้

2.
อาหารที่ควรหลีกเลี่ยงได้แก่ น้ำตาล แป้ง ไขมัน เครื่องเทศต่างๆ
และเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ทุกชนิด เพราะจะทำให้หนังศีรษะมัน
และเป็นตัวกระตุ้นให้เกิดรังแค

3.
หลีกเลี่ยงการใช้ผลิตภัณฑ์เพื่อ ความงาม ที่ระคายเคืองต่อหนังศีรษะ
เช่น น้ำยาย้อมสีผม น้ำยายืดผม น้ำยาดัดผม น้ำมันใส่ผม สเปรย์จัด
แต่งทรงผม เยล และมูสต่างๆ

4.
ไม่เกาหรือถูหนังศีรษะแรงๆ เพราะจะทำให้หนังศีรษะถลอก
และกระตุ้นให้เกิดรังแคมากขึ้น

5.
เลี่ยงแชมพูที่มีส่วนผสมของสาร เคมี แต่ควรเลือกใช้แชมพู
สระผมชนิดอ่อน เพราะจะช่วยควบคุมการเกิดไขมัน โดยไม่ไป
ซ้ำเติมหนังศีรษะมากนัก

น้ำมันหอมถนอมหนังศีรษะ

หลังจากลองปรับเปลี่ยนพฤติกรรมต่างๆ แล้ว ลองใช้น้ำมันหอมช่วยเสริมอีกทางก็ได้


ธาตุเจ้าเรือนดิน ใช้ไม้จันทน์ แพ็ทชูลี่

ธาตุเจ้าเรือนน้ำ ใช้ลาเวนเดอร์ เจอเรเนียม

ธาตุเจ้าเรือนลม ใช้ตะไคร้ มะกรูด

ธาตุเจ้าเรือนไฟ ใช้โรสแมรี่ ทีทรี ไม้จันทน์

วิธีใช้


แบบที่ 1 ผสมน้ำมันนวด แล้วนวดลงบนหนังศีรษะ (น้ำมันตัวกลาง
ในการผสม ขอแนะนำให้ใช้น้ำมันงา น้ำมัน มะพร้าว น้ำมันโจโจบา
หรือน้ำมันสวีทอัลมอนด์) นวดให้ทั่วหนังศีรษะ ห่อด้วยผ้าขนหนู
ชุบน้ำอุ่น (เหมือนหมักผม) ทิ้งไว้ 1-2 ชั่วโมง แล้วจึงสระผมออก
ด้วยแชมพูชนิดอ่อน แล้วล้างออกด้วยน้ำอุ่น

แบบ ที่ 2 ผสมลงในแชมพูที่ไม่มีกลิ่น แล้วใช้สระผม
ญหารังแคจะค่อยๆ หมดไป

5 สูตรสมุนไพรไล่รังแค

แชมพูสมุนไพร มีสรรพคุณในการรักษารังแคและเส้นผมทุกสภาพ โดยไม่เสี่ยงต่อ

อันตรายจากสารเคมี


1.
มะนาว ใช้ไข่แดงล้วนๆ 1 ฟองตีให้แตกนำมาชโลมให้ทั่วศีรษะ ทิ้งไว้
สักครู่แล้วล้างออกให้สะอาด หลังจากนั้นใช้น้ำมะนาวประมาณ 1
ช้อนโต๊ะผสมน้ำเปล่า 1 ถ้วย นำมาสระผม เพื่อล้างสารตกค้างที่
ก่อให้เกิดรังแคออกจากผม

2.
มะกรูด ใช้แชมพูชนิดอ่อนสระผมให้สะอาด จากนั้นนำมะกรูด 1-2 ลูก
ต้มในน้ำประมาณ 3-5 แก้วให้เดือด ทิ้งให้อุ่น แล้วขยำลูกมะกรูด
ในน้ำ จากนั้นกรองเอาเนื้อและกากออก นำน้ำมะกรูดที่ได้มาสระผม
ชโลมทิ้งไว้สัก 5-10 นาที แล้วล้างออก ทำเป็นประจำสัปดาห์ละ 3 ครั้ง

3.
ว่านหางจระเข้ ปอกเปลือกใบสดของว่านหางจระเข้ออก เหลือแต่วุ้น
ประมาณ 1 ถ้วย แล้วปั่นหรือบด จากนั้นนำไปหมักผมทิ้งไว้ 30 นาที แล้วจึงล้างออก

4.
น้ำซาวข้าว เก็บน้ำซาวข้าวและตั้งทิ้งไว้จนตกตะกอน จากนั้นเทน้ำซาว
ข้าวใสๆ ข้างบนทิ้งไป ชโลมหลังสระผมแล้วทิ้งไว้ 15 นาที จึงค่อย
ล้างออก ผมจะเงางาม รังแคจะหายไป

5.
ตะไคร้ นำ ตะไคร้สด 3 ต้น ทุบให้แตก แช่ไว้ในน้ำ 1 ลิตร ประมาณ
10 นาที ขยำให้น้ำตะไคร้ออก แล้วนำน้ำตะไคร้มาชโลมผม
หมักทิ้งไว้ ประมาณ 10 นาที แล้วล้างออกด้วยน้ำสะอาด ทำ
ติดต่อกัน 3 วัน

ขจัดรังแคตามสภาพเส้นผม


ผมมัน สระผมด้วยแชมพูสำหรับผมมันโดยเฉพาะ แล้วสระซ้ำด้วย
แชมพูป้องกันรังแค ที่มีส่วนผสมของกำมะถัน เช่น ซีบูเลกซ์ (sebulex)
ซีบูโทน (sebutone) หรือ เซลซัน (selson) เพื่อลอกเซลล์ที่ตายแล้ว
และลดการผลิตน้ำมันจากต่อมไขมัน จากนั้นให้ล้างออกด้วยน้ำ มะนาว
(ผสมน้ำมะนาว 1 ลูกในน้ำอุ่น 1 ถ้วย) ราดลงบนศีรษะ ขยี้ให้ทั่ว
แล้วล้างออกด้วยน้ำเย็น

ผมแห้ง นวดผมและหนังศีรษะด้วยโลชั่นที่ใช้ทาผิว 1/4 ถ้วย เอาผ้า
ผ้าขนหนูชุบน้ำร้อน บิดให้หมาดแล้วโพกศีรษะทิ้งไว้ประมาณ
15-20 นาที ขั้นต่อไปให้สระผมด้วยแชมพูป้องกันรังแคสูตรอ่อนโยน
แล้วล้างออกให้สะอาดด้วยน้ำอุ่น

ผมธรรมดา สระผมด้วยแชมพูสำหรับผมธรรมดา แล้วใช้น้ำแอสไพริน
(ผสมยาแอสไพริน 6 เม็ด ในน้ำอุ่น 1 ถ้วย) ชโลมผมให้ทั่ว ปล่อยทิ้งไว้
15 นาที เพื่อให้ตัวยาซึมเข้าไปในเส้นผมและหนังศีรษะ แล้วล้างออก
ด้วยน้ำสะอาด เมื่อรังแคหายดีแล้ว ให้กลับไปใช้วิธีดูแล ความสะอาด
เส้นผมตามปกติ

ผมทำสีหรือ ผมดัด สระด้วยแชมพูที่มีส่วนผสมของโปรตีน หรือแชมพู
ที่มีปริมาณกรดสมดุล จากนั้นจึงสระด้วยแชมพูป้องกัน รังแคสูตร
อ่อนโยนผสมซิงก์ไพริไทออน (zinc pyrithione) หลังล้างเส้นผม
จนสะอาดแล้ว ให้ใช้ครีมนวดผสมโปรตีนที่มีค่าพีเอชต่ำ

เมื่อสระผมเสร็จแล้ว ควรเป่าหรือเช็ดผมให้แห้ง อย่าปล่อยให้ผมแห้งเอง

และไม่ควรนอนหรือรวบผมในขณะที่ผมยังไม่แห้ง เพราะจะทำให้

เส้นผมชุ่มน้ำมันได้เร็วขึ้น ถ้าเป็นไปได้ให้หลีกเลี่ยงการใช้สเปรย์

เพราะเป็นตัวช่วยจับฝุ่นและน้ำมัน

ที่มา: http://www.yourhealthyguide.com/article/ag-dandruff-cure.html

8 วิธีเพื่อผมสวยสุขภาพดี



สาว ๆ ที่มีผมแห้งชี้ฟูคงจะหนักใจไม่น้อย เวลาที่เดินไปไหนมาไหนแล้วผมปลิวไปตามลมแต่ดันไม่ยอมทิ้งตัวกลับสู่สภาพเดิม ซะอย่างนั้น เฮ้อ.. งานนี้จะทำยังไงดีล่ะเนี่ย อุตส่าห์ใช้ยาสระผมสูตรผมนุ่มก็แล้ว ใช้ทรีทเม้นท์ก็แล้ว ก็ยังไม่มีวี่แววว่าผมจะมีน้ำหนักเสียที

มีวิธีง่าย ๆ มาฝาก อาจจะต้องทำอะไรหลายอย่างหน่อยก็ต้องยอมแล้วนะคะ เพื่อผมสวยสุขภาพดีของคุณนั่นแหละ เอ้า.. ว่าแล้วก็ไปดูกันดีกว่า

1. ใช้เซรั่มทุกครั้งหลังสระผม เพราะเซรั่มเป็นอาหารผมที่เข้มข้นที่สุดในบรรดาผลิตภัณฑ์บำรุงผมต่าง ๆ ดังนั้น ก็เลยเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้เลยล่ะค่ะ โดยคุณอาจจะปรึกษาช่างผมก่อนที่จะเลือกใช้ ว่าเซรั่มตัวไหนดีต่อสภาพผมคุณมากที่สุด ทั้งนี้ก็เพื่อให้คุณได้ใช้ผลิตภัณฑ์ที่ถูกกับผมนั่นเองค่ะ

2. ใช้คอนดิชันเนอร์แบบลีฟอิน ซึ่งเป็นคอนดิชันเนอร์ที่ดีต่อผมคุณมาก ๆ เลยล่ะค่ะ อย่างในปัจจุบันนี้ก็มีคอนดิชันเนอร์ลีฟอินหลายชนิดให้เลือกใช้กัน ไม่ว่าจะเป็นแบบสเปรย์หรือว่าโลชั่น ใช้ควบคู่ไปกับเซรั่มจะดีที่สุดนะคะ

3. สระผมด้วยน้ำเย็น ในบางสูตรอาจจะบอกว่าควรสระผมด้วยน้ำอุ่น แต่อ๊ะ ๆ อยากจะบอกเหลือเกินค่ะว่าน้ำอุ่นนั่นแหละเป็นตัวทำให้ผมคุณแห้งมากขึ้นเยอะ เลยทีเดียว ดังนั้นหลังจากที่คุณสระผมและหมักผมด้วยคอนดิชันเนอร์แล้ว แนะนำให้คุณล้างผมด้วยน้ำเย็นจะดีกว่า เพราะมันจะทำให้ผมของคุณยังคงความชุ่มชื้นอยู่ และแน่นอน มันทำให้ผมคุณดูมีสุขภาพดีขึ้นได้ค่ะ

4. อย่าเป่าผมด้วยการจี้ไดร์เป่าผมลงไปชิดกับผมนัก เพราะมันทำให้ผมของคุณแห้งชนิดที่เรียกว่าแห้งกรอบเลยล่ะค่ะ อีกทั้งยังทำให้ผมคุณเสีย แตกปลายได้ง่าย ๆ อีกด้วย ดังนั้นหากเป็นไปได้ ควรเป่าผมด้วยลมเย็น หรือลมอุ่น ๆ ดีกว่า ซึ่งไดร์เป่าผมแต่ละตัว สมัยนี้เค้าก็ทำให้มีทั้งลมหลายระดับให้เลือกกันอยู่แล้ว

5. ใช้สเปรย์เพิ่มความเงางามให้เส้นผม เพื่อทำให้ผมของคุณดูสุขภาพดี เงางามค่ะ อ๊ะ แต่ขอแนะนำให้เป็นสเปรย์ที่ช่วยบำรุงผมไปพร้อม ๆ กันด้วยนะคะ เพราะมันจะช่วยปกป้องผมของคุณด้วยล่ะ

6. ดื่มน้ำเยอะ ๆ น้ำนอกจากจะดีต่อสุขภาพร่างกายแล้ว คุณรู้หรือไม่ว่ามันยังดีต่อสุขภาพผมของคุณอีกด้วย เพราะมันเป็นการเพิ่มความชุ่มชื้นให้กับผมคุณค่ะ เอ้า ดังนั้นถ้าใครอยากมีผมสวยก็ควรดื่มน้ำให้เพียงพอ คือประมาณ 6-8 แก้วต่อวันนะคะ

7. กินอาหารที่มีประโยชน์ โดยเฉพาะอาหารที่มีวิตามิน A และ E จะทำให้ผมคุณมีน้ำหนักและมีสุขภาพดีขึ้นได้ นอกจากนี้ อย่าลืมทานโปรตีนเพื่อเสริมสร้างการเจริญเติบโตของเส้นผม ซึ่งอาหารประเภทโปรตีนที่ดีต่อเส้นผม ได้แก่ ไข่และถั่วค่ะ

8. หลีกเลี่ยงสารเคมีแรงจัด ไม่ว่าจะเป็นการดัด ย้อม ทำสี ยืด รวมถึงการใช้ความร้อนสะสมทุกวัน ๆ ล้วนแล้วแต่เป็นสิ่งที่ทำลายสุขภาพผมคุณทั้งนั้นค่ะ อ้อ สารเคมีแรงจัดนี้รวมไปถึงผลิตภัณฑ์ที่มีแอลกอฮอล์ด้วยนะคะ ตัวบั่นทอนสุขภาพผมสวยของคุณตัวดีเลยทีเดียว

อย่างไรก็ดี การมีสุขภาพผมที่ดีและมีน้ำหนักนั้น คุณจำเป็นต้องปฏิบัติไปพร้อม ๆ กันทั้ง 8 ข้อเลยนะคะ ฮั่นแน่ ดูเหมือนจะยุ่งยากวุ่นวายใช่มั้ยล่ะ แต่หากลองทำดูจริง ๆ แล้ว จะพบว่าไม่ยากเลยค่ะ เพียงแค่คุณเจียดเวลามาดูแลเส้นผมวันละนิด เพียงเท่านี้ คุณก็จะได้เป็นเจ้าของผมสวยสุขภาพดีแล้วล่ะค่ะ

ที่มา: http://women.kapook.com/view14714.html

กีวีผลไม้มีประโยชน์


กีวี ถือเป็นผลไม้ชนิดหนึ่งที่มีประโยชน์ต่อร่างกายสูง วันนี้มีประโยชน์ที่ได้รับจากกีวีมาบอกกันค่ะ…

- แหล่งวิตามินซีในปริมาณสูงสุด

กีวีสีเขียวและกีวีโกลด์ หรือกีวีสีทอง กีวีทั้งสองชนิดมีปริมาณวิตามินซีสูงสุดถ้าเทียบกับผลไม้ชนิดอื่น เช่น ส้ม หรือมะละกอ จากการวิจัยพบว่า กีวี หนึ่งผลมีวิตามินซีมากกว่าส้มหนึ่งลูกถึง 74% การรับประทานกีวีสองผลต่อวันจะช่วยเพิ่มปริมาณวิตามินซีในร่างกายอย่างเห็น ได้ชัด ช่วยกระตุ้นการทำงานของภูมิคุ้มกันโรคซึ่งจะช่วยป้องกันไข้หวัด และซ่อมแซมร่างกายส่วนที่สึกหรอแถมยังกระตุ้นการสร้างเซลล์ใหม่ๆ

- อุดมด้วยโฟเลต สำหรับคุณแม่ตั้งครรภ์

โฟเลตมีบทบาทสำคัญในการสร้างสารพันธุกรรม จำเป็นอย่างยิ่งสำหรับเด็กทารกและคุณแม่ที่กำลังตั้งครรภ์ เพราะเป็นช่วงที่ร่างกายต้องการเซลล์ใหม่เป็นจำนวนมาก การรับประทานโฟเลตเป็นประจำทั้งก่อนและระหว่างตั้งครรภ์ จะช่วยทำให้ผิวและเซลล์เม็ดเลือดมีสุขภาพดี กีวีมีปริมาณโฟเลตสูงสุดเมื่อเปรียบเทียบกับกล้วย มะม่วง สัปปะรด และแอปเปิ้ล โดยมากกว่ากล้วย 49% และมากกว่ามะม่วงถึง 112.8%

- สุดยอดคุณค่าวิตามินอี

วิตามินอี มีคุณสมบัติช่วยชะลอความแก่ ด้วยสารต้านอนุมูลอิสระที่ลดความเสื่อมของอวัยวะต่างๆ อีกทั้งยังช่วยลดระดับคอเลสเตอรอล และช่วยในการไหลเวียนของเลือดอีกด้วย จากการวิจัยพบว่า กีวีมีปริมาณวิตามินอีสูงสุด โดยเฉพาะกีวีทอง จะมีวิตามินอีมากกว่ามะม่วงถึงหนึ่งเท่า

- เต็มที่ด้วยพลังไฟเบอร์

ไฟเบอร์หรือเส้นใยอาหารเป็นสารที่ไม่ให้พลังงานในร่างกาย แต่สามารถทำให้อิ่มได้เร็วและนาน นอกจากนี้ ยังช่วยชำระล้างและปรับปรุงระบบย่อยอาหาร รวมถึงส่งเสริมให้หัวใจและร่างกายแข็งแรง กีวีเขียวหนึ่งผลมีปริมาณไฟเบอร์มากกว่ากล้วย 15% และมากกว่าแอปเปิ้ลและส้มถึง 25%

รู้อย่างนี้แล้ว หันมารับประทานกีวีกันเยอะ ๆ เพื่อสุขภาพที่ดีแถมยังไม่อ้วนอีกด้วย

ที่มา: http://health.deedeejang.com/2/1810.html

“เสน่ห์” ผู้หญิงสร้างได้


“เสน่ห์” ผู้หญิงสร้างได้

เคยสงสัยมั๊ยคะ ทำไมผู้หญิงคนนี้ไม่เห็นสวยเลย(แค่พอดูได้เอง ชั้นสวยกว่าตั้งเยอะ) แต่ทำไมมีหนุ่มๆมาจีบเยอะจัง คำตอบคือ เพราะเค้าเป็นคนมีเสน่ห์ค่ะ ซึ่งเสน่ห์ใครๆก็สร้างได้ ฝึกได้ และถ้าทำได้แล้วมันจะเป็นไปโดยธรรมชาติ ทำให้เรามีเพื่อนเยอะ แล้วเหล่าบรรดาคุณผู้ชายก็ชอบด้วยค่ะ

1. การพูดจา ขี้อ้อน เอาอกเอาใจ


2. การแต่งตัว น่ารัก สมวัย เหมาะกับกาละเทศะ

3. ยิ้มแย้ม แจ่มใส มีมนุษยสัมพันธ์ดี

4. มีเสน่ห์ปลายจวัก ไม่ว่ายุคสมัยไหน ถามผู้ชายไทยได้เลย

5. ไม่จุกจิก จู้จี้ขื้บ่น ยากหน่อยนะคะแต่ก็ต้องฝึกค่ะ

6. คุย รู้เรื่องและคุยสนุก ไม่ใช่แค่ค่ะ ค่ะ ค่ะ อย่างเดียว มันดูน่าเบื่อ

7. รู้จักใช้จ่ายเงิน ไม่ใช่ช๊อปปิ้งแหลก ผู้ชายเห็นแล้วกลัวกระเป๋าฉีก

8. รัก เด็ก รักสัตว์(อย่างจริงใจ) เพราะมันดูมีเมตตา เป็นผู้ยิ๊ง ผู้หญิงค่ะ

9. ใส่ใจและสนใจรายละเอียดเล็กๆน้อยๆของคนรอบข้าง เช่น จำวันเกิดของเขาได้ และรู้ว่าเค้าชอบอะไร ไม่ชอบอะไร

ที่มา: http://nongcupid.blogspot.com/2009/04/1_7992.html

สวยแบบง่ายๆ และ สบายกระเป๋า


เดี๋ยวนี้สาวๆ นิยมฉีดโบท็อกซ์เพื่อคลายริ้วรอยเหี่ยวย่นรอบดวงตาแต่ก็ทำให้กระเป๋าเบาทัน ใจเช่นกัน ถ้าอยากสวยถาวรด้วยวิธีง่ายๆ สบายกระเป๋าก็ต้องเลือกอาหารที่ดีต่อสุขภาพผิวดังต่อไปนี้

- ผล Berry ทั้งหลาย ไม่ว่าจะเป็นบลูเบอรี่ ราสพ์เบอรี่ และใหม่ล่าสุด Acai Berry นับว่าเป็นสุดยอดของผลไม้ที่มีสารต้านอนุมูลอิสระแถมด้วยไบโอฟลาโวนอยดฺ์ วิตามินซีที่จำเป็นต่อการต่อต้านความเสื่อมและยังจำเป็นต่อการเสริมสร้าง เนื้อเยื่อคอลลาเจนและอิลาสตินที่ทำให้ผิวหนังแข็งแรง เรียบเนียน ไม่มีริ้วรอย

- Resveratrol แอนตี้ออกซิแดนต์สำคัญที่พบในองุ่นสีม่วงหรือไวน์แดง ช่วยต่อต้านอนุมูลอิสระ ลดความเสื่อมความชรา และช่วยป้องกันภาวะผิวเหี่ยวย่นแก่ก่อนวัยได้เป็นอย่างดี

- Fish Oil น้ำมันปลาคุณภาพสูง เป็นสารต้านอนุมูลอิสระ ลดการอักเสบทุกอวัยวะโดยเฉพาะอย่างยิ่งการอักเสบของหลอดเลือด ป้องกันโรคหัวใจและหลอดเลือด และยังเสริมให้เซลล์ประสาทและสมองทำงานแข็งแรง มีผลลดการอักเสบของผิวพรรณ ช่วยลดปัญหาผิวแห้ง และปัญหาที่แพ้ รับประทานปลาทะเลน้ำลึกสัปดาห์ละ 2-3 ครั้ง หรือ เลือก Fish Oil แบบแคปซูลได้

- Evening Primrose Oil โอเมก้า 6 ชนิดที่ช่วยต่อต้านการอักเสบ จึงใช้มากในการรักษาโรคภูมิแพ้ ช่วยให้ผิวหนังแข็งแรง มีความชุ่มชื้นตามธรรมชาติ ลดปัญหาอาการผิดปกติก่อนมีรอบเดือน PMS ได้เป็นอย่างดี

แถมด้วยอีก 2 สิ่งที่ทำได้ง่ายๆ คือ งดอาหารหวานจัด – และดิ่มน้ำเปล่าวันละ 8 แก้ว เท่านี้ก็สวยทันตาแบบไม่เปลืองเงินแล้ว

ที่มา: http://health.deedeejang.com/4/1966.html

นวดหน้าลดริ้วรอย


มีวิธีนวดหน้าลดริ้วรอยมาบอก…

- เริ่มจากบริเวณหน้าผาก ให้ใช้นิ้วกลางและนิ้วนางเริ่มจากกึ่งกลางหน้าผากนวดวนขึ้นเป็นแนวขดลวด (ขึ้นหนักลงเบา) นวดจนถึงบริเวณขมับ 6 จังหวะ ทำซ้ำ 3 ครั้ง โดยครั้งสุดท้ายให้กดจุดที่ขมับเพื่อความผ่อนคลาย

- บริเวณรอบดวงตา และยกกระชับริมฝีปาก ใช้นิ้วกลางและนิ้วนางนวดเบาๆ บริเวณใต้ตา โดยเริ่มจากแนวโครงกระดูกเบ้าตาล่าง วนไปมาเบาๆ นับ 1 ครั้ง ทำซ้ำ 3 ครั้ง จากนั้นเริ่มนวดจากบริเวณใต้โพรงจมูก ลูบออกด้านข้างในลักษณะยกผิวขึ้น ลูบไปมา 3 ครั้ง และเลื่อนนิ้วลงมาบริเวณใต้ท้องริมฝีปากล่าง ลูบออกตามแนวริมฝีปากในลักษณะยกขึ้น ทำซ้ำ 3 ครั้ง

- ยกกระชับกล้ามเนื้อบริเวณมุมปาก ใช้ปลายนิ้วทั้งสองข้างนวดจากบริเวณ กึ่งกลางคางขึ้นไปที่บริเวณมุมปากใน ลักษณะยกขึ้น ทำซ้ำ 3 ครั้ง

- ยกกระชับกล้ามเนื้อบริเวณแก้ม ใช้ปลายนิ้วทั้งสองข้างนวดจากบริเวณมุม ปากในลักษณะยกผิวขึ้นเป็นมุมกว้าง ค้างไว้สักครู่แล้วค่อยลูบลง ทำซ้ำ 3 ครั้ง

- ผ่อนคลายความตึงเครียดบริเวณดวงตา ใช้นิ้วกลางและนิ้วนางกดบริเวณหัวตาทั้ง 2 ข้าง กดเบาๆ นับ 1-3 แล้วลูบผ่านเปลือกตา และวนรอบดวงตา กลับมากดที่หัวตา ทำซ้ำ 3 ครั้ง โดยครั้งสุดท้ายลูบผ่านเปลือกตาไปกดจุดที่บริเวณขมับ

เพียง เท่านี้ก็สามารถทำให้ริ้วรอยบนใบหน้าลดลงได้ แถมยังทำให้ผ่อนคลายได้อีกด้วย.

ที่มา: http://health.deedeejang.com/4/1814.html